วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

"Style" รูปแบบชีวิต

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน
เดี๋ยวอบอ้าว เป็นอากาศที่น่าหงุดหงิดมากๆ ยังไงก็ดูแลสุขภาพกายและใจให้
ดีๆกันนะครับผม วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง "Style" หรือ แนวทาง



เรื่องของแนวทางเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการเต้น การทำงาน และ ในเชิงศิลปะ
จริงๆ style เป็นเพียงแค่รูปแบบ และ รสนิยมของผู้ที่ดำเนินงาน เป็นโครงสร้างของสิ่งต่างๆ
ที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ในด้านต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการปรับทัศนคติ
ที่เป็นตัวตนให้มาลงกับผลงานหรือความสามารถ ก่อนที่จะมาเป็น style ใดใด ล้วนมีที่มา
ที่ไปและแรงบรรดาลใจที่แตกต่างออกไป เป็นการเก็บเล็กผสมน้อยประกอบจนกลายมา
เป็นของใหม่ บางครั้งตัวตนเหล่านี้ฝังรากลึกมาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ และ
ความทรงจำ ความชอบในวัยเด็ก เป็นการแสดงออกที่มีมายาวนานจนเป็นนิสัย




เมื่อคนเราเริ่มเรียนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คำว่า style ก็จะค่อยๆโผล่ออกมาแบบที่เราไม่
รู้ตัว เมื่อทำเข้า เรียนเข้า รู้เข้า ก็เห็นมากขึ้น เลือกได้ง่ายขึ้น เรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง
มีทัศคติที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆเอง เพราะมองโลกของตัวเองมากกว่าโลกภายนอกที่
สังคมปกติมองกัน เมื่อทัศนะคติมีความแข็งแกร่งมากขึ้น รูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงาน
ก็จะชัดเจนขึ้น มีทิศทาง มีรูปแบบที่ตนเองต้องการ บางครั้งเมื่อทัศนะคติที่แข็งแกร่งเกินกว่า
โลกแห่งความเป็นจริงมันก็อันตราย เพราะชีวิตที่อยู่ในโลกของเรามันไม่สามารถทำทุกอย่าง
ได้จริงๆ แต่โลกความจริงบางครั้งก็ทำร้ายโลกภายในของเราจนบอบช้ำำได้เหมือนกัน



การที่เราจะรักษาสมดุลย์ระหว่างโลกของเรา (Style) กับ โลกภายนอก จำเป็นจะต้อง
วางแผนชีวิตของเราให้ดีๆเสียก่อนเพราะโลกภายนอกไม่เข้าใจโลกภายในของเราซะทุกอย่าง
บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้โลกภายนอกเพื่อสื่อโลกภายในของเราออกไปให้คนปกติรับรู้
มันอาจจะใช้ไม่ได้ผลนักแต่การที่จะให้คนหลายๆคนมาเข้าใจในสิ่งที่เราคิดนั้นมันต้องใช้เวลา
ความสามารถ การสนับสนุนที่ดี การประชาสัมพันธ์ที่ต่อเนื่อง การเชื่อมต่อประสานของผู้คน
และปัจจัยอีกหลายๆอย่าง โลกแห่งชีวิตจริงไม่เคยยอมรับความแตกต่างของใครได้จริงๆ
เราจึงต้องเผื่อช่องว่างระหว่างโลกความจริงและโลกของเราเอาไว้ตรงกลางด้วย  







คนบางเข้าใจตนเองจนหลงเข้าไปในสิ่งที่ตนเองเลือกเป็นแนวทางมากจนเกินไป และ เริ่มคิดว่าสิ่งนี้วิเศษที่สุดไม่มีอะไรเทียบได้อีกแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้จะ้เกิดการยึดเกาะของความคิดกับ styleนั้นๆ ผมเรียกเรื่องแบบนี้ว่าการ "หลง style" เมื่อเรายึดติดกับอะไรซักอย่างมากๆ นานๆ การพัฒนารูปแบบจะไม่เกิดขึ้น มันจะเป็นไปในทางเพิ่มพูนสิ่งที่มีอยู่แล้วมากกว่า แต่ไม่ได้เป็นไปในทางพัฒนาความรู้ที่เรามีให้สูงกว่าเดิม มันจะเป็นไปในเชิงประมาณแต่ไม่ใช่ในเชิงของคุณภาพที่ดีขึ้นเมื่อเรายึดติด style ใดมากจนเกินไปเราจะรู้สึกเบื่อ และไร้ซึ่งจินตนาการ ขาดการหยั่งรู้ในความสามารถต่อๆไปในตัวของเรา เมื่อเราปลดล็อกความคิดเกี่ยวกับการ หลง style รูปแบบก็จะไม่ติดอยู่ที่รูปแบบเดิมๆ ความสนุกของคุณก็จะมีอยู่ตลอดเมื่อคุณรู้จักที่จะปล่อยให้มันวิ่งไปบนเส้นทางของมันโดยไม่ต้องล่าม !










บางคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่ผมพูดคือการบอกให้ ทิ้งตัวตนที่เป็นอยู่แล้วไปหาอันใหม่ จริงๆมันไม่ใช่
แบบนั้น เพราะถึงคุณพยายามที่จะทำสิ่งใหม่ลองทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง ในนั้นมันก็ยังคงมี style
ของคุณอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ คนหลายคนลืมไปว่ามันติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว บางทีเราแทบไม่
ต้องค้นหามันเลยด้วยซ้ำ มันอยู่กับเราตลอดเวลาที่เรากำลังดำเนินชีวิต ฉนั้นการทำสิ่งใหม่ลองอะไร
ใหม่ๆที่ไม่ใช่ตัวเอง มันก็สามารถทำให้คุณได้แรงบรรดาลใจใหม่ๆในการใช้ชีวิตในรูปแบบของคุณ
ได้เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้มองเห็นตัวเราได้ตลอดเวลา ขอเพียง
เรารู้ว่าทัศนคติของเราเป็นอย่างไร เราก็จะเห็นได้ยิ่งชัดเจน 






ถ้าเราเข้าใจกฏธรรมชาติพื้นฐานได้เราก็จะเข้าใจกฏของการใช้ชีวิตได้เช่นกัน รูปแบบ
ของเราเราจะไม่ได้เป็นแค่รูปแบบแต่จะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เหมือนกับอวัยวะที่เราสามารถใช้เมื่อไหร่ก็ได้ที่เราต้องการ แต่เมื่อเราสั่งการแล้ว ก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับสิ่ง
รอบข้างเพราะ style ของเราเป็น ส่วนหนึ่งของโลกด้วย ทุกสิ่งล้วนไม่อยู่นิ่ง ล้วนโยกย้ายถ่ายเทและแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเรายึดมากหลงมาก เราก็ยากที่จะเดินต่อไปข้างหน้า มองและชื่นชมแต่สิ่งเดิมๆที่ตนเองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อทำไปนานๆเข้าก็จะเกิดความกลัวเพราะเชื่อไปแล้วว่าตนเองไม่สามารถพัฒนาได้แล้ว เลยเอาสิ่งที่ตนเองทำอยู่ตลอดมาเป็นเกราะเพื่อป้องกันตัวเองจากความคิดของคนอื่นๆที่จะมาขัดแย้งกับตน แต่ในขณะที่คุณไม่ยึดติดกับรูปแบบมากจนเกินไปคุณจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้มากขึ้น ยอมรับผู้อื่นได้มาก
ขึ้น มีความกล้าหาญมากขึ้น มีจินตนาการที่มากขึ้น ไม่มีความซ้ำซากจำเจ ปรับตัวได้กับ
ทุกสถานะการณ์ เมื่อคุณเปิด ประตูแห่งรูปแบบที่ไร้ขีดจำกัด ประตูแห่งจักรวาลก็จะเปิด
รับตัวตนของคุณเองด้วย !  




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5


วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการไร้ขีดจำกัด

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านวันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องที่้เราไม่ค่อยจะพูดถึงนัก
ในสังคมสมัยใหม่เพราะเรามักมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่
ทว่าการได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ คือ ความรู้ที่จะทำให้เราเข้าใจตัวตน และ บรรพ
บุรุษของเรามากยิ่งขึ้นว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร ทุกวันนี้เรามองว่าชีวิต คือ บาง
สิ่งบางอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นมาเองนั้นสำคัญกว่าอะไรในโลก เช่น เงิน
ทรัพย์สมบัติ , งาน , ตำแหน่ง , ลาภ ,ยศ ,ชื่อเสียง และ อำนาจ สิ่งเหล่านี้
เป็นเรื่องของมนุษย์ยุคใหม่ (จริงรึปล่าว?)


จากในตำราเรียนที่เราร่ำเรียนเรื่องของการกำเหนิดของสิ่งต่างๆบนโลก การ
เกิดขึ้นของชีวิตเรา บอกเราว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร พาเรามาจนสังคม
ของมนุษย์กลายเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้


มนุษย์ยังคงมีความเชื่อว่าตนคือศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ตลอดเวลา แม้จะ
พิสูจน์ได้แล้วว่าจักรวาลนั้นกว้างใหญ่มากเกินกว่าที่เราจะศึกษาค้นคว้าได้หมด
เชื่อว่ายังมีพระเจ้าที่มาสร้างเราให้เกิดขึ้นมาบนโลก โดยพระเจ้าก็มีรูปลักษณะ
ที่คล้ายกับเรา และเราคือเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทุกคนกำลัง
สร้างสิ่งที่เรียกว่าเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการสับสนหลงทาง



วิทยาศาสตร์นำความเจริญมาสู่โลกปัจจุบันมากมาย ทำให้ชีวิตของเรากลายเป็น
เหมือนบางสิ่งที่คล้ายพระเจ้า ทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้ (ในมุมมองของมนุษย์)
เราสร้างระบบการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในโลกบัญชาการมันเยี่ยงกับว่าเราคือเจ้า
ของโลกทั้งใบ จะทำอะไรก็ไำด้กับโลกใบนี้ วิทยาศาสตร์พาเราออกไปไกลถึงนอก
โลก ทำให้เราเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ด้วย "สมมุติฐาน"  



สมมุติฐาน คือ การตั้งคำถามขึ้นมาหนึ่งคำถามแล้วพยายามหาคำตอบจากมัน 
ด้วยการเดาเอาสุ่มๆ หรือการกะเกินด้วยตรรกะว่า โดยใช้ทฤษฎีว่ามันน่าจะเป็น
แบบนี้ แบบนั้น แล้วหาหลักฐานมาบอกเราว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงได้รับการพิสูจน์
แล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชาญฉลาดของโลก 




นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเราเกิดขึ้นมาจากวิวัฒนาการ ต่างๆจากเซลล์เล็กๆ
ไปเป็นสัตว์ต่างๆ ไปเป็นลิง จนกระทั่งกลายเป็นคนแบบที่เราเป็นทุกวันนี้ หลาย
อย่างที่เราเรียนรู้มาจนถึงทุกวันนี้ยังคงคลุมเคลือ เพราะยังคงมีหลักฐานประวัติ
ศาสตร์มากมายที่บ่งชี้ไปในแบบสวนทางกับทฤษฎีวิวัฒนาการ มีหลักฐานบาง
ชิ้นถูกพบขึ้นในสมัยที่เก่าแก่กว่ายุคที่มนุษย์เกิด ..











OOPARTS (Out Of Place Artifacts) หรือ "วัตถุเหนือยุค" เป็นวัตถุที่
ไม่น่าจะเกิดขึ้นในยุคนั้นแต่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนเมื่อนานมาแล้วบางชิ้นมีอายุกว่า 
2,800 ล้านปี  เช่น เครื่องบินเจ็ททองคำในโคลัมเบียร์ ,รูปปั้นและรูปวาดนักบินอวกาศ 
ของชาวมายา เป็นต้น มีหลายอยู่หลายชิ้นมากๆครับ ท่านใดที่สนใจลองไปหาข้อมูล
เพิ่มเติมต่อได้เลยครับ    






                                          
จากหลักฐานหลายอย่างทำให้หนังสือเรียนที่เราเคยเรียนมากลายเป็นแค่
นิทานหลอกเด็กที่เชื่อว่าวิวัฒนาการพาเรามาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้สังคมเรา
มุ่งหวังในสิ่งที่คิดว่าจะทำให้มนุษย์เจริญขึ้นๆ แต่ในเรื่องของจิตใจเรากลับ
ถดถอยลงเรื่องๆ ทุกอย่างเร็วขึ้น ทำให้เราใช้เวลาคิดน้อยลง ตัดสินใจไว
เกินไป สร้างอุปกรณ์ที่ใช้ในการขังความคิดตัวเองและผู้คนบนโลกไว้ลำพัง
ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับความฝัน จินตนาการ และ สันติภาพ การศึกษาทำ
ให้คนมีอำนาจควบคุมมนุษย์ำด้วยกันได้ง่ายขึ้น ระบบต่างๆสร้างมาเพื่อตอบ
สนองความต้องการส่วนตัวที่เรียกว่า "อัตตา"


มนุษย์ไม่เคยทิ้งอัตตาและเชื่ออยู่เสมอว่าตนคือผู้ยิ่งใหญ่และทรงปัญญา
วิชาการที่ดีที่สุดของโลกยุคสมัยใหม่กลับมีแต่ความมืดบอดไม่ต่างไปจาก
ศาสนา แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกันก็คือ "ศรัทธา" ผู้นำของทั้งสองฝ่ายต่างช่วง
ชิงอำนาจในการควบคุมมนุษย์อย่างไม่ลดละ  ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์
คือ "อัตตา" ความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่ตนคิดมากจนเกินไป
เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากเกินไป จนลืมมองไปว่าเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิต
ที่เล็กมากในจักรวาล อันที่จริงแล้วอัตตาคือที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์หากแต่
เรากลับปฏิเสธมันด้วยเหตุผลนั้น เหตุผลนี่ " วิทยาศาสตร์พิสูน์ได้ทุกอย่าง "
"พระเจ้าสร้างโลกเราต้องเชื่อมั่นในพระเจ้า" เราไม่เคยมองสิ่งต่างๆตามความ
เป็นจริง มุมมองของเรามุ่งออกไปที่สิ่งภายนอกตัวเรา ใช้ขีดความสามารถของ
เรากับสิ่งภายนอก หาข้ออ้างเพื่อมาหักล้างอัตตาของคนอื่น หากแต่แค่เราลด
ตัวตน ลดอัตตาของเราลง เราจะมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนในแบบที่มันเป็น
เรามัวแต่ไปตั้งคำถาม คิดคำตอบ จนลืมมองสิ่งต่างๆตามที่เป็นจริง








ถ้ามนุษย์เรามีวิวัฒนาการที่พัฒนาไปมากจริงๆ ทำไมคนส่วนมากในโลกยังคง
มีความสุขน้อยลง ยิ่งเทคโนโลยี ยิ่งเศรษฐกิจพัฒนาเท่าไหร่ คนก็ยิ่งอดอยาก
มากขึ้น สงครามก็ยังคงมีอยู่มากมาย คนทำงานในระบบที่ไม่มีความสุข รับการ
ศึกษาที่ไม่ได้เอาไปใช้ได้จริงๆในชีวิตประจำวัน สร้างสังคมที่สอนให้ทุกคนร่ำรวย
และมีอำนาจ นี่หรือการพัฒนา วิวัฒนาการทางจิตใจเราหายไปไหน ? 












ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและปัจจัยในการเกิดขึ้นเสมอ มนุษย์อาจจะเคยฉลาดกว่านี้เมื่อหลาย
ล้านปีมาแล้ว มนุษย์อาจจะเกิดแล้วตายมาแล้วไม่รู้กี่ล้านรอบแล้วก็ได้ หรือเราอาจจะ
ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ใครจะรู้ ?  วิวัฒนาการที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของสิ่งต่างๆที่เราสร้าง
ขึ้น วิวัฒนาการคือการพัฒนาจิตใต้สำนึกของตนเองเพื่อลดอัตตาให้น้อยลงต่างหาก 
โลกนี้จะอยู่ไม่ได้หากเรายังคงพึ่งพาบางสิ่งที่ไม่ใช่มุมมองที่แท้จริงของตนเอง บางครั้ง
อาจจะไม่ต้องมีเหตุผลมากก็ได้แต่ขอให้เรามี "ศรัทธา" ในทุกสิ่งรอบๆตัวเรา เชื่อว่า
ทุกสิ่งมีค่า ทุกอย่างมีชีวิต และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา 
คนทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เมื่อเราคิดได้แบบนี้วิวัฒนาการทางความเป็นมนุษย์
ของเราก็จะเกิดขึ้น เข้าใจสิ่งต่างๆได้มากขึ้น คำถามจะน้อยลง เพราะมันจะกลายเป็น
ความเข้าใจจนไม่ต้องเกิดคำถามกับสิ่งต่างๆ เราสามารถพบพระเจ้าได้โดยไม่ต้องมอง
เห็นตัวตน เพราะทุกคนมีพระเจ้าของตนเอง เพียงแค่เรารู้สึกมัน ทุกอย่างจะอยู่ตรงนั้น
และเป็นเช่นนั้นเอง ..



ปล. ผมไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นศาสนาใดใดการเขียนดังกล่าวเป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นในเรื่องของอัตตาในตัวของมนุษย์ทุกคน เพราะพระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีคำจำกัด ความหรือเรื่องราวเมื่อท่านเชื่อว่ามีท่านก็จะอยู่กับทุกท่านอยู่แล้วโดยที่เราไม่ต้องพูดถึงท่านครับ 





อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
  

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การควบคุม (Control)

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องของการ Control (การควบคุม) 
จริงๆเรื่องการควบคุมเรียกได้ว่าเป็นหัวใจ ของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องของสติ เป็น
เรื่องของจิตใจ และความสามารถในการควบคุม ความสามารถในด้านต่างๆของเรา


ผมจะพูดถึงเรื่องของการเต้นเป็นหลักแล้วกันครับ เพราะเป็นเรื่องที่ผมถนัดและใช้อยู่
เป็นประจำ การควบคุมในที่นี้ึคือการวางขอบเขตของสิ่งที่เราจะทำ อย่างเช่นว่า เราต้อง
การให้มันเคลื่อนที่ ไปช้า ไปเร็ว หรือ ต้องการหยุดได้ตามต้องการ หยุดจังหวะให้มีความ
ถี่ที่แตกต่างออกไป หยุดแบบถี่มาก หรือ ถี่น้อยๆ (การซอยจังหวะให้ถี่ หรือ ค้างจังหวะไว้)
การควบคุมเป็นทักษะที่ผู้เต้นจะต้องฝึกฝนเป็นประจำตั้งแต่เริ่มเต้นอยู่แล้ว คนที่ไม่สามารถ
ความคุมจังหวะของตนเอง ไม่สามารถควบคุมน้ำหนักในการวางเท้า หรือส่วนต่างๆของ
ร่างกายได้ เขาจะไม่สามารถหยุดตัวเองได้ และจะขาดความ "Flow" (ความต่อเนื่องลื่นไหล)
ไปโดยปริยาย


การ Control ที่ดีมีหลักการที่ดูแสนง่าย คือ แค่เรากำหนดความคิดเพื่อควบคุมส่วนต่างๆ
ของร่างกาย แต่สิ่งที่จะต้องมีนอกเหนือจากความคิดก็คือ การฝึกฝนส่วนต่างๆของร่างกาย
ให้ดำเนินไปตามที่เราคิด เพราะร่างกายและความคิดเป็นคนละส่วนกัน ดังนั้นเราจึงต้องฝึก
ทั้งสองอย่างให้ควบคู่กันไป บางครั้งมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้ร่างกายไม่เป็นไปตามที่เรา
สั่งการเวลาที่ใช้งานจริง ได้แก่


- ฝึกฝนการควบคุมส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายน้อยเกินไป ไม่สามารถเคลื่อนที่ 
  หรือหยุดได้ตามต้องการ 

- มีความกดดันในเรื่องของจิตใจที่ส่งผลถึงร่างกายโดยตรง ในขณะที่อยู่สภาวะ

  ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อยู่ท่ามกลางการแข่งขัน จิตใจเกิดอาการเครียด ท้อแท้ 
  ทำให้เคลื่อนไปอย่างไม่สบาย เป็นต้น

- สภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า บาดเจ็บ ไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องการจะทำได้อย่างเต็มที่ 



ด้วยสาเหตุต่างๆไปทำให้เราไม่สามารถทำการควบคุมได้อย่างเต็มที่ บางครั้งจะทำให้เรา
เกิดอาการสะเปะสะปะ ในการเคลื่อนไหว หลุดไปจากที่เีราคิด เรื่องของเรื่องก็คือคนเราชอบ
กำหนดขอบเขต อย่างตั้งใจ และ คาดหวังกับสิ่งที่ตนเองกำหนดขอบเขตเอาไว้ แต่เมื่อเรา
ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานะการได้เราก็จะเกิดอาการ "ช๊อค" (ชะงักงันทางความคิด) ทำให้
สิ่งที่เรารู้สึกไปรบกวนการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ ทำให้การเคลื่อนไหวมีการกระตุก ไม่เป็น
ธรรมชาติ เสียสมดุล วางน้ำหนักผิดพลาด แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น



การควบคุม ไม่ใช่ การบังคับ การควบคุมเป็นเรื่องของคนที่กำลังเลี้ยงวัวในคอก ไม่ใช่
การตีวัวเข้าคอก เราได้แค่เฝ้าดู และ ล้อมคอกเพียงเท่านั้น ไม่ได้เอาไม้ไปตีวัวให้วัว
เกิดความเครียด เพราะเมื่อวัวเกิดความเครียด วัวก็จะไม่อยากให้นม เพราะเราไม่เคย
ให้มันสบายอารมณ์บ้างเลย ในขณะเดียวกันนั้นคุณก็ต้องทำงานมากขึ้นด้วย เนื่องจาก
คุณต้องมานั่งจ้องวัวของคุณไม่ให้เดินไปไหนมัวแต่ระแวงว่าวัวจะหนี ซึ่งอันที่จริงวัวมัน
ก็แค่เดินไปรอบๆคอกของคุณแท้ๆ คุณต่างหากที่เป็นห่วงมากเกินความจำเป็น 





หากร่างกายของเราเปรียบเสมือน วัว และ สมองของคุณคือ เด็กเลี้ยงวัว สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ 
ปล่อยให้วัวเดินออกกำลังกายบ้าง ล้มบ้าง นอนบ้าง พักกินหญ้าบ้าง วัวของคุณยังไงมันก็ไม่มี
ทางที่จะนอนทั้งวัน หรือ กินหญ้าทั้งวันอยู่แล้ว เพราะวัวมันต้อง " ขยับ " มันเป็นธรรมชาติของ
มันแบบนั้น ตราบใดที่มันยังมีเสียงดนตรีวัวของคุณก็จะไม่ยอมนอนพักง่ายๆ ดังนั้นอย่ากลัวถ้า
มันอยากจะทำอะไรที่มันอยากทำบ้าง แค่นี้คุณก็เป็นคนที่ฉลาดในการควบคุมวัวได้แล้ว 



เราต้องฝึกการควบคุมความคิดของเราด้วย ไม่่ใช่แค่เรื่องของร่างกายเพียงอย่างเดียวถ้า จิตใจ
เราไม่พร้อมจะไปที่ไหน จะทำอะไร จะแข่งกับใคมันก็ไม่เคยพร้อมทั้งนั้น การวางขอบเขตในการ
ควบคุมร่างกายต้องเป็นไปอย่างหลวมๆ มีการยืดหยุ่น รู้ว่าตอนไหน สามารถวางขอบเขตได้มาก
แค่ไหน เมื่อมันออกนอกขอบเขตที่เราวางไว้ จะต้องแก้ปัญหาอย่างไร จัดการกับมันอย่างไร
การที่เราจะควบคุมร่างกายของเราได้อย่างอิสระนั้น เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักการเคลื่อนไหวของเรา
ให้หมดเสียก่อน หรืออย่างน้อยพื้นฐานของการเคลื่อนไหวในทุกๆส่วนที่เราต้องใช้ จากนั้นเราจึง
ใช้การวางขอบเขตเพื่อกำหนดจุด ต่างๆให้ร่างกายเราเคลื่อนที่ไปตามต้องการ



นอกเหนือจากนั้นการควบคุมจิตใจจากสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันมีอิทธิพล
กับเราด้วยในทุกที่ๆเราไป จะมากหรือน้อยอยู่ที่สถานะการณ์ อยู่ที่ความแข็งแรงของจิตใจ เพราะจิตใจ
ของเรานอกจากจะวางขอบเขตให้ร่างกายของเราแล้ว เรายังไปวางขอบเขตให้กับคนอื่นๆด้วย มันเป็น
ขอบเขตที่ำำไม่มีที่สิ้นสุด เราพยายามควบคุมความคิดของกรรมการโดยบรรทัดฐานทางความคิดของเรา
คาดหวังว่าคนนั้นจะคิดแบบนั้น คิดแบบนี้ ฝั่งตรงข้ามจะทำอะไรต่อ เขาจะไม่ทำอะไรต่อ ใครจะออก
ต่อไป ใครจะแข่งก่อนแข่งหลัง ใครที่เราจะแข่งกับเขาในรอบต่อไป ในหัวเราเต็มไปด้วยรั้วที่จะไปล้อม
วัวตัวอื่นๆ รวมถึงคนเลี้ยงวัวคนอื่นด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ัวัวของคุณ และคนเลี้ยงวัวเขาก็มีรั้วของเขาที่คุณ
เข้าไปไม่ได้เช่นกัน  เพราะสุดท้ายแล้วเด็กเลี้ยงวัวของอีกคอกหนึ่งจะวิ่งออกมาพร้อมปืนลูกซองไล่ยิง
คุณอย่างไม่ปราณีในฐานะที่คุณพยายามจะเป็นหัวขโมย โดยไม่เจตนา !





ฉนั้นคนอื่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเต้นของคุณ ผลการตัดสินไม่ได้ทำให้คุณเปลี่ยน
ไปจากความที่คุณเป็นคุณ (ไม่ใช่เรื่องของความสามารถ) อย่าเข้าไปในคอกวัวของคนอื่น แล้วคุณจะ
เลี้ยงวัวของคุณได้อย่างมีความสุข คุณจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดทุกๆครั้งที่คุณเคลื่อนไหว ส่วนเรื่อง
การขยายคอกวัวก็จะกลายเป็นเรื่องของเวลา และอนาคต ยังไงๆเราก็ต้องขยายคอกวัวอยู่แล้ว เพราะ
วัวของคุณจะแข็งแรงและมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉนั้นอย่าได้ใส่ใจเรื่องวัวๆแบบนั้นไม่งั้นคุณจะ
กลายเป็นวัวเสียเอง .. 



ในบางครั้งอารมณ์ของคุณอาจจะไม่เอื้ิออำนวยให้คุณได้เต้น การควบคุมร่างกายก็จะเป็นไปใน
รูปแบบที่จำทน แต่คุณก็สามารถวางเส้นทางให้มันเดินได้เหมือนกัน ไม่ใช่ต้องพึ่งอารมณ์ของคุณ
เพื่อที่จะเต้นเพียงอย่างเดียว เพราะคุณสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญ คุณจะเข้าใจ
ใน ท่าเต้น(move) ,รูปแบบของท่า (form), การต่อท่า (transition)  ของคุณเองปัญหาก็คือ
การวางเส้นทางให้มันเดิน บางครั้งอาจใช้ภาพเก่าๆมาเป็นตัวนำทางให้มันเดินทางก็ได้ หรือ
ถ้าคุณต้องการที่จะลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อตัวคุณเอง ก็ลองใช้สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
เหล่านั้นมาเป็นโจทย์ แล้วก็แก้มันไปเรื่อยๆ อารมณ์ในการเต้นของคุณจะกลับมา แต่มันจะเดิน
ทางไปบนเส้นทางใหม่ที่คุณไม่เคยวางให้มันเดินมาก่อน เช่นว่า เจอเพลงจังหวะที่เราไม่ถนัด
เราก็เลยหาวิธีขยับที่แตกต่างแต่ใช้ความรู้ที่เรามีมาเดินทางก็ทำได้ บางครั้งกลับกลายเป็นว่าเป็น
คุณได้ทำอะไรในสิ่งที่คุณไม่เคยทำ ทำให้สไตล์การเต้นของคุณมีสีสันมากขึ้น เป็นการพาวัว
ออกมาเดินเล่นนอกรั้วสูดอากาศซะบ้างจะเป็นไรไป




ปัญหาหลักของการควบคุมร่างกายในการเต้นจริงๆแล้วก็คือ การยึดติด ในความทรง
จำแบบเดิมๆ ความคุ้นชินกับดนตรีจังหวะเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ท่าเต้นเดิมๆ คนเรา
มักจะยึดติดอยู่กับสภาพที่ตนเองคุ้นเคยเพราะคิดว่ามันปลอดภัยกว่า ไม่กล้าที่จะออก
มาจากคอกวัว ไม่ยอมให้วัวเป็นอิสระ ไม่ยอมให้มันมีชีวิต เมื่อไหร่ที่เรารักษาสมดุลทาง
ความคิดและร่างกายได้เมื่อไหร่ เราจะเป็นอิสระได้จริงๆ โลกของเราจะไม่เป็นเหมือนเดิม
 โลกทั้งใบจะกลายเป็นคอกวัวของคุณไปโดยปริยาย วัวจะไม่ได้เป็นของคุณ และ 
คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของวัว เพราะต่างคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน





อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5




วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ผีหลอกใคร ? ใครหลอกเรา ?

สวัสดีครับท่านผู้อ่านผมหายไปนานเพราะคอมพิวเตอร์เสีย และการงานที่มีมากมายขึ้นใน
ช่วง Hi Season สำหรับอาชีพอย่างผม เป็นอาชีพเต้นกิน รำกิน สอนกิน นอนกิน อะไรแบบนั้น
หวังว่าทุกท่านคงจะมีความสุขในช่วงหน้าร้อนและสงกรานต์ที่ผ่านมานี้นะีึครับ :)


ไม่ได้เขียนซะนานไม่รู้จะเริ่มด้วยเรื่องอะไรดี ช่วงนี้ผมดูหนังผีบ่อยมาก หลายเรื่อง
หนังผีสอนให้เราใช้หลักเหตุผล ให้เรามีสติรู้มากขึ้น รู้จักทางหนีทีไล่ เพราะถ้าเรา
ตกอยู่ในสถานะการณ์แย่ๆแบบนั้นเราคงต้องมีสติมากๆไม่อย่างงั้นคงไม่มีทางรอด
จากเหตุการณ์อันสยองขวัญแบบนั้นมาได้แน่ !


ผมมองเห็นคนอยู่สองประเำภทในหนังผี 


1) คนที่ไม่เชื่อว่ามีผี คิดว่าทุำกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลที่ทำการพิสูจน์ำได้
    เสมอ คนพวกนี้ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ จะพิสูจน์ไปจนกว่าตัวจะตาย และ
    ไอ้คนพวก  นี้มันก็ตายจริงๆ หรือไม่ก็กว่าจะเชื่อว่ามี ก็เกือบตายหรือต้องเสีย
    อะไรไปตั้งมากมายแล้วค่อยมาคิดได้ว่า ไอ้ที่เราเจออยู่เนี่ยมันเรียกว่า "ผี" หรือ "ปีศาจ"

2) คนที่เห็นแล้วก็เชื่อทันทีว่ามีผี มองว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือผี คือสิ่งที่อยู่เหนือการ
    ควบคุมรู้สึกถูกคุกคามภายในจิตใต้สำนึกที่ลึกๆเชื่อว่ามันมีผีอยู่ ก็ยิ่งไปเอาส่วนนั้น
    มาปรุงแต่งให้สติแตกมากขึ้น จนถูกผีฆ่า ไม่ก็เสียสติไปเลย


กระบวนการความคิดของเราบอกว่าผีคือตัวแทนของความกลัว เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย
อยู่เหนือความเข้าใจ อยู่นอกกรอบความคิดของสังคมสมัยใหม่ ที่เชื่อในวิทยาศาสตร์และหลักเหตุ
ผลอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ผีจะเป็นอะไรที่ไม่เป็นรูปธรรม แต่มันก็ยังคงอยู่ในจิตสำนึกลึกๆของ
ทุกคน เพราะอะไรบางอย่างในหนังมันบอกเราว่าวันหนึ่งเราจะเดินทางไปสู้ความตายและกลายเป็น
สิ่งที่เรากลัวที่เรียกว่า "ผี"  


ยิ่งคนเรากลัวอะไรมากๆ คนเรายิ่งจะแสดงออกในด้านตรงกันข้าม มากขึ้นๆ มันเป็นกฏของธรรมชาติ
เมื่ิิอเรา้เจอประสบการณ์ที่อยู่เหนือความเข้าใจ จนทำให้เรารู้สึกกลัวสุดขีด มันจะมีอยู๋ช่วงเวลาหนึ่ง
ที่เราจะได้สติและมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาที่อยู่ตรงหน้า แม้วิธีการแก้ปัญหาบางอย่างอาจจะไม่
สมเหตุสมผลมากนักแต่เราก็จำเป็นต้องทำเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ใช้ได้แต่ใจเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหา
ได้ ถ้าเราต้องการควบคุมสถานะการณ์ที่เหนือธรรมชาติ เราจะต้องอยู่นอกเหนือการควบคุมซะก่อน
ในสไตล์ที่เรียกว่าขนาดผีก็เดาไม่ได้ว่าเราจะทำอะไรต่ิอ สุดท้ายเราจะชนะมันด้วยหัวใจที่กล้าหาญ
ของเราหากใช่เรื่องของวิธีการแก้ปัญหาไม่  เพราะเอาจริงๆถ้าเราอยู่ในสถานะการณ์ที่ผีมาไล่ฆ่าเรา
แบบนั้นเราก็คงนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะสู้กับมันได้ยังไง เพราะผีมันอยู่นอกเหนือจากกฏ ถ้าเรากลัว
เราก็กลายเป็นคนที่ถูกคุมโดยกฏ ไม่เป็นอิสระ ไม่มีจินตนาการ การแก้ไขปัญหาที่เต็มไปด้วยความคิด
ปรุงแต่งและความรู้สึกกลัวจึงไม่ทำให้เราผ่านพ้นสิ่งเหล่านั้นไปได้  


อย่างน้อยผมมองว่าผีทำให้เรามีความกล้าที่จะต่อสู้กับปัญหาที่จะมาในรูปแบบไหนก็ไม่รู้ในชีวิต
ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับผีที่อยู่ในภาพยนตร์พวกนั้นมากนัก ชีวิตจริงบางครั้งมันก็สยองกว่าในจอเพราะ
มันคือของจริงเจ็บจริงกลัวจริง สติแตกได้จริง ผมไม่ได้หมายถึงผีจริงๆนะ แต่ผมหมายถึงประสบการณ์
ในโลกแห่งความเป็นจริง บางครั้งมันจริงเกินกว่าเราจะต้องการมัน


ผีทำให้คนที่กลัวสุดขีดลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่อยู่้ตรงหน้า ทำลายความเชื่อ
ทำลายกำแพงในตัวเอง กลายเป็นอีกคนที่สามารถช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นได้ ซึ่งถ้าเราปลด
ปล่อยความกลัวเหล่านี้ออกจากจิตใต้สำนึกของทุกคนได้จะทำให้เราทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ
อย่างมีสติ (แต่ต้องอยู่บนศีลธรรมของโลก) ชีวิตของเราก็จะสนุกและเบามากขึ้น ไม่ต้องกลัว
ไม่ต้องห่วงอะไรมากจนเกินไป แม้มันจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง ณ ปัจจุบัน 
"ไม่สู้ก็ต้องตาย" นั่นคือคติของหนังผีที่มีผีไล่ฆ่าคน คนเราถูกไล่ล่าทุกวันด้วย ความชรา , โรคภัย
อุบัติเหตุ, การถูกทำร้าย , ความตาย เราล้วนเรียกมันว่า "ผี" มันควบคุมไม่ได้ และมันหลอกหลอน
เราทุกช่วงอายุไขตลอดชีวิตที่เราเกิดมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 



" ผีหลอกไม่ทำให้ใครตาย แต่ไอ้ที่ตายจริงๆก็เพราะใจมันหลอกใจเอง "




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5