วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับธุรกิจส่วนตัวกับการเต้น Street dance [Part 2]

ถ้าคุณยังไม่ได้อ่าน Part 1 สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ตามลิง์ข้างล่างนี้นะครับ

เคล็ดลับธุรกิจส่วนตัวกับการเต้น Street dance [Part 1]

http://cheno4flow.blogspot.com/2015/08/street-dance-part-1.html


เมื่อคุณเป็นนักเต้นคุณคือศิลปิน จงเคารพตนเองและสิ่งที่ทำ เพราะเรา
เสียเวลา ,เสียค่าเดินทาง ,เสียค่าอาหาร  และ ลงทุนไปกับการเรียนเต้น
บางคนอาจจะฝึกเองก็เสียค่าเดินทางไปฝึกซ้อมมากพอๆกับการเรียนเต้น
ยิ่งซ้อมเยอะก็ยิ่งเสียเยอะ เพราะฉนั้นเราควรคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วยเพราะเรา
มีการลงทุนลงแรงไปกับการฝึกซ้อมและมันไม้ได้มาฟรีๆ ดังนั้นคิดให้มากๆ
ก่อนที่คุณจะรับงานใดใด สิ่งที่คุณควรรู้ในการรับงานจ้างมีดังนี้





















Rob Nasty Rocker [Forever We Rock / USA]
full vdo https://youtu.be/tVusTm0ObRE

1) รู้ว่าเขาจ้างเราไปทำอะไร  ที่ไหน และ เมื่อไหร่
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องรู้ก่อนเพื่อเช็คเวลาว่าเราว่างมั้ย เราทำงานนี้ได้มั้ย
ถ้าไม่ได้จะลองรับดูก็ได้ แต่อาจจะไม่มีงานที่ 2 อีกเพราะผิดวัตถุประสงค์
รู้ว่าสถานที่ทำงานอยู่ที่ไหน กรุงเทพฯ ต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศ เมื่อ
สถานที่เราก็สามารถประเมินค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้



2) สอบถามรายละเอียดงานว่าเป็นอย่างไร 
ถามรายละเอียดที่จำเป็น เช่น แสดงกี่รอบ ,กี่วัน  ,มีซ้อมหรือไม่
 แสดงกี่คน , ผู้ชายหรือผู้หญิง , ใช้การเต้นสไตล์ไหน , มีคอนเซปงานหรือไม่
, ใช้ชุดในการแสดงรึปล่าว , มีอาหารกลางวันให้รึปล่าว (ข้าวกล่อง) , มีที่พัก
ให้นักแสดงระหว่างรอหรือไม่ เป็นต้น นี่เป็นรายละเอียดตัวอย่างๆคร่าวๆเท่านั้น
 ลองตั้งคำถามที่เราใช้เพื่อการทำงานและอำนวยความสะดวกให้กับเราและคน
ที่ทำงานกับเราในทุกๆด้านเพื่อความไม่ผิดพลาดเวลาตัดสินใจรับงาน เพราะมัน
คือความรับผิดชอบของคุณ



3) ประเมินราคาตามความเป็นจริง 
การประเมินราคาในการทำงานควรประเมินตามราคาในท้องตลาดเราสามารถถาม
คนที่เขารับงานอยู่เป็นประจำ ประเมินทุกอย่างให้เป็น Maximum ไม่ใช่ Minimum
(ประเมินราคาให้สูงไว้ก่อน) แต่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและสถานนะ
การเศรษฐกิจในเวลานั้นด้วย ราคาที่เหมาะสมอาจจะเป็นราคาที่ไม่ถูกแต่ก็ไม่แพง
ขึ้นอยู่กับโปรไฟล์หรือประวัติการทำงานของเราด้วย จงอย่าขายงานในราคาที่ต่ำเพื่อ
กดราคาแข่งกัน มันอาจจะทำให้คุณไม่สามารถรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินบางอย่างได้ 
เพราะราคาต่ำก็จะได้ลูกค้าที่มีเงินทุนต่ำ ดังนั้นไม่ควรขายงานหรือรับงานในราคาที่ต่ำ
เกินความเป็นจริง ถ้าทุกคนทำแบบเดียวกันราคาก็จะตกไปหมดในอนาคตเราก็ไม่สามารถ
อยู่กันได้อย่างยั่งยืน เรื่องนี้ต้องทำครับมันเป็นเรื่องของสำนึกต้องช่วยกัน !




4) อย่าใช้แต่ใจทำงานจงใช้สมองด้วย 
การเต้นที่ใช้ใจคือการเต้นที่มีคุณภาพมีพลัง เพราะคุณสนุกกับมันเต็มที่กับมัน แต่อย่าลืม
ว่าในโลกแห่งความจริง วามรู้ของตัวเองนั้นต้องใช้ความคิดควบคู่ไปด้วยกัน วางแผนใน
การทำงาน  เผื่อเหตุการณ์เฉพาะหน้า เซ็นสัญญาจ้าง เรียนรู้กฏหมายไว้บ้าง จะได้ไม่ถูกคน
จ้างที่ไม่สุจริตมาเอารัดเอาเปรียบ ถ้าไปเป็นลูกจ้างก็ต้องยิ่งใช้สมองให้มากๆครับ เพราะเรา
ควรจะเอาสมองของเราไปคิดถึงเรื่องของศักยภาพเกี่ยวกับการเต้น (หรือสิ่งที่คุณทำ)
 เอาสมาธิไปใช้กับตรงนั้นได้เต็มที่ อย่าปล่อยเวลาให้มันผ่านไป ถึงจะมีเงินเดือนแต่
ไม่พัฒนาตัวเอง เด็กรุ่นใหม่ก็เก่งขึ้น โตขึ้น การแข่งขันก็มีมากขึ้นในขณะที่คุณก็แก่ลง
 ผมไม่ต้องบอกนะถ้าไม่ทำอะไรจะเกิดอะไรขึ้น






















Rocking Showcase in Jam On It [Vol.9] feat. Lipa , Rob Nasty and Cheno
full vdo https://youtu.be/tVusTm0ObRE



5) สร้างสรรค์งานที่แตกต่าง
สร้างงานหรือรูปแบบงานที่แตกต่างโลกสมัยนี้อยู่ได้ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ใช้ความคิด
สร้างสรรค์กับการทำงานของเราให้เต็มที่ เพราะไม่บ่อยนักที่เราจะได้ปลดปล่อยความคิด
ของเราผ่านการทำงาน แม้คุณอาจจะถูกกำหนดโดยโจทย์หรือข้อจำกัดต่างๆ แต่นั้นไม่ใช่
เรื่องสำคัญ เรื่องที่สำคัญจริงๆคือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ที่ทำให้ทั้งเรา,นักแสดง
และ ลูกค้ามีความสบายใจ และไหลลื่นไปกับการทำงาน คุณอาจจะใช้มันไม่ได้เต็มร้อยเหมือน
ตอนเต้น แต่ถ้าเราใช้มันให้เป็นมันจะทำให้เราทำงานมีคุณภาพและจะมีลูกค้ามาสนใจเรา
เพราะเรามีจุดขายและความแตกต่างจากคนอื่นๆ



6) รับผิดชอบต่อคำพูดและคำสัญญา 
เรื่องนี้จะทำให้คุณเป็นคนที่มีคุณภาพและสามารถเชื่อใจได้ในระยะยาว มันเป็นเรื่องของเครดิต
คุณต้องเข้าใจก่อนว่าการทำงานเต้นส่วนมากใช้ข้อตกลงปากปล่าว ดังนั้นจงทำตามคำสัญญา
ที่ให้ไว้กับผู้จ้าง อย่าเบี้ยว อย่าทำลายชื่อเสียงตัวเองด้วยการเป็น พีนอคคีโอที่ไร้ความรับผิดชอบ
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญและจะต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพราะมันคือปากท้องของคุณ



7) มีที่ปรึกษาด้านกฏหมายไว้บ้าง
หาเพื่อนหรือคนที่รู้เรื่องกฏหมายไว้บ้างหรือสามารถซื้อหนังสือเกี่ยวกับกฏหมายแพ่งพาณิชย์มาอ่าน
หรือแม้แต่ เสิร์ชหาดูในอินเทอร์เน็ทก็ได้ครับ เผื่ออนาคตอาจจะมีเรื่องเกี่ยวกับภาษีเงินได้เรียกเก็บ
ย้อนหลัง หรือ วันหนึ่งเราอาจจะเปิดบริษัทรับงานการแสดง แม้แต่การออกแบบสัญญาจ้างงาน
ซึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม คนดีๆในสังคมเรามีเยอะครับแต่เวลาถึงตาจนเราไม่
รู้หรอกครับว่าเขากินอื่มนอนหลับรึป่าว ดูและตัวเองก่อนและเราจะเริ่มดูแลคนอื่นได้ด้วยครับ




  
B-boy PRI-1 KANAKAS [99Flava crew]


8) เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
มนุษย์เรามองกันที่ภายนอก เขาไม่รู้หรอกว่าเราเคยได้แชมป์อะไรมาบ้าง แต่งตัวยังไงคนก็คิดแบบนั้น
จงทำลายความคิดของคนที่มองมาที่เราให้ เท่ห์ สะอาด ดูดี ใส่ใจในเครื่องแต่งการ เสื้อผ้า หน้า ผม
กลิ่นกาย กลิ่นรองเท้า ทุกอย่างล้วนสำคัญสำหรับการรับงานทั้งสิ้น เพราะคุณหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะ
ต้องพบเจอกับผู้คน จงออกจากบ้านด้วยความมั่นใจ สะอาด สดชื่น Fresh ! อย่าให้เขามาดูถูกว่า
เราเป็นพวกเต้นข้างถนนไม่มีที่ความคิด สกปรก กุ๋ยข้างถนน ติดยา ฯลฯ  ดังนั้นจัดให้เต็มเวลารับงาน
แต่ขอย้ำว่าต้อง สด และ สะอาด !!!




9) ประเมินความสามารถของนักแสดง
ความสามารถของนักแสดงเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกนักแสดงให้เหมาะสม แต่ละคนมีจุดด้อย
จุดเด่นที่แตกต่างกัน ทำความเข้าใจข้อดีข้อเสียของแต่ละคนและ ใช้ประโยชน์จากข้อดีของทุกๆ
คนให้มากที่สุด อุดจุดด้อยทั้งหมด คนที่เหมาะสมกับงานก็จะสามารถทำให้ประเมินราคาในการ
ทำงานได้เหมาะสมด้วยเช่นกัน




10) อย่าลืมเก็บโปรไฟล์การทำงานทุกครั้ง
ถ่ายรูปถ่ายและ วีดีโอเกี่ยวกับการทำงานต่างๆ เก็บไว้เป็นโปรไฟล์เพื่อยื่นเสนอทำงานในครั้งต่อๆไป
จดมันไว้ว่าไปทำอะไรที่ไหนมาแล้วรวบรวมไว้ หรือ  แม้แต่ส้งโปรไฟล์ไปให้บริษัทที่ต้อง การจ้างโชว์
เต้นหรือการแสดง การเก็บผลงานของตนเองเป็นการช่วยสร้างเครดิตให้กับชื่อเสียงของเรา หรือ
ทีมเราให้มีชื่อเสียงในการได้รับงานมากขึ้น




อันนี้เป็นเป็นเทคนิคแบบพื้นฐาน เราตั้งรับเป็นแล้วก็อย่าลืมบุกครับ
ชื่อเสียงของเราเป็นเรื่องสำคัญกระจายชื่อของเราให้เป็นที่รู้จักใน
ทุกๆที่ๆคุณไป โปรโมทตัวเองผ่านอินเทอร์เน็ท โซเชี่ยลเน็ทเวิร์คต่างๆ
ทำแฟนเพจเพิ่มผู้ติดตามผลงานของคุณด้วยการโปรโมทตัวของคุณ
ทั้งทางออนไลน์ และ อ๊อฟไลน์ คนยิ่งรู้จักคุณมากโอกาสในการทำงาน
ยิ่งมีมาก จงพัฒนาตนเองอยู่เสมอเพราะโอกาสที่เหมาะสมกับความสามารถ
เท่านั้นถ้าคุณฝีมือไม่ถึงคุณก็ไม่มีทางได้ทำงานในจุดนั้น หรือไปได้ใน
ที่ๆคุณต้องการ อย่าท้อครับซ้อมต่อไป กระจายชื่อของคุณ สร้างผลงานของ
คุณ แบ่งปันข้อมูลข่าวสาร ดนตรี วัฒนะธรรมและความรักของคุณที่มีต่อ
วัฒนธรรม Hip-Hop และการเต้นของคุณ (หรือสิ่งที่ตุณทำ) มันจะทำให้คุณ
เติบโตจากข้างในจิตวิญญาณไปพร้อมๆกับด้านสุขภาพทางการเงิน 



Photo Credits
https://www.facebook.com/SUCKAWAEYES/
https://www.facebook.com/JamOnItParty/
https://www.facebook.com/Praiwan99



อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !




หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99f



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เคล็ดลับธุรกิจส่วนตัวกับการเต้น Street dance [Part 1]

สวัสดีครับท่านผู้อ่านหายไปพักใหญ่เลย วันนี้อยากจะพูดถึงเรื่องธุรกิจ
และการทำงานในสายอาชีพการเต้น ซึ่งเป็นอาชีพอิสระหลายๆคนเต้น
มานานจนกระทั่งมีงานทำ เป็นเรื่องเป็นราว แต่ยังไม่สามารถรับงานได้
อย่างมีประสิทธิภาพเพราะถูกกดค่าจ้างบ้าง ขาดประสบการณ์ในการทำงานบ้าง
ผมจึงอยากจะแชร์วิธีการทำงานที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับ
คนทำอาชีพเต้นและสร้างงานศิลปะแขนงอื่นๆครับ



เต้นแล้วต้องรู้เรื่องธุรกิจไปทำไม ?

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันการเต้นหลายแขนงเป็นที่นิยมในการโปรโมทสินค้า
เพื่อเปิดตัวงานต่างๆ เปิดตัวสินค้า คอนเสิร์ตและอื่นๆ เราจึงหลีกเลี่ยงเรื่องของ
ธุรกิจไม่ได้ เพราะคนที่มาจ้างงานเขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาในการทำงาน
ดังนั้นเราควรจะรู้เรื่องการจัดการพื้นฐาน สำหรับการรับงาน เพื่อไม่ให้ถูกเอารัด
เอาเปรียบจากนายจ้างที่ หรือ การโกง


คุณต้องรู้จักตัวคุณเองว่าคุณเป็นใคร และทำอะไรได้ให้เขาได้บ้าง ?

สมมติว่าคุณคือ นักเต้น B-boy คุณมีความสามารถในการเต้นอยู่แล้ว
แต่ในการทำงานแค่เต้นอย่างเดียวไม่พอ เราต้องตอบโจทย์วัตถุประสงค์
ของนายจ้างให้ได้ด้วย เช่นเขาต้องการจ้างเราไปเต้นเปิดตัวสินค้าชนิดหนึ่ง
คุณต้องตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้ว่าเขาต้องการอะไร ดึงดูดคน , ขายสินค้า
หรือ สร้างความบันเทิงให้กับผู้คน แต่ละงานจ้างมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่าง
กันออกไป เราต้องรู้ตัวก่อนว่าทำอะไรได้บ้าง บางคนเต้น B-boy เก่งมาก
แต่ สร้างความบันเทิงให้กับคนรอบข้างไม่เป็น ซึ่งถ้าลูกค้าต้องการให้
เราทำแต่เราเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเต้น มันก็ผิดวัตถุประสงค์ของผู้จ้าง จงรู้
ในจุดด้อยและจุดเด่นของตัวเอง และพัฒนาตัวเองเพื่อให้สามารถตอบ
โจทย์ลูกค้าให้ได้ งานต่อๆไปที่เขามีวัตถุประสงค์แบบเดิมเขาก็จะกลับมา
จ้างงานเราอีกเพราะเราสามารถทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น เป็นต้น


           Mr. Wiggles Rocksteady Crew , USA



ก่อนที่คุณจะเริ่มรับงานเต้น และ ทำเป็นอาชีพจริงๆได้
นี่คือสิ่งที่นักเต้น Street dance ทุกคนควรรู้ เพื่อพัฒนาตนเอง
นี่คือข้อมูลบางส่วนที่ผมได้แปล มาจาก

 เว็บไซต์ของ Mr. Wiggles จากทีม Rocksteady Crew
ซึ่งเป็นนักเต้นStreet dance ระดับตำนานซึ่งให้คำแนะนำเอาไว้ ดังนี้


1) จงเต้นด้วยความรัก
เมื่อคุณเต้นด้วยความรักแล้ว การทำงานของคุณจะไม่ได้ขึ้นอยู่
กับตัวเงินเสมอไป ไม่ใช่เต้นเพราะต้องการทำงานเพียงอย่างเดียว
เต้นไปในทุกๆที่ ที่มีโอกาสเพื่อสั่งสมประสบการณ์ และ การฝึกฝน
ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง จงทำไปเรื่อยๆ จงอดทน และ อย่าหยุด
เต้น เราจะได้รับรางวัลจากความอดทนของเราในภายหลัง (ใจเย็นๆ)


2) Battle กับนักเต้น Street dance ทุกๆสไตล์

การที่เป็นที่รู้จักในวงการนักเต้น Street dance เป็นเรื่องสำคัญ
ผมไม่ได้หมายถึงแต่การลงในงานแข่งเต้นเพียงอย่างเดียว
 แต่ Battle กับทุกคนใน Cipher (Cipher คือการเต้นแบบล้อมวงกลม)
ด้วย จงอย่าเป็นคนที่เอาแต่ดู ไม่ยอมลง Cipher หรือ เป็นพวกที่ชอบ
Battle ในถิ่นของตัวเองเพราะมันคือเขตปลอดภัย จงอย่าเป็น
คนที่ไม่มีจุดหมายในการเต้น เพราะต่อไปคุณจะกลายเป็นพวก Hater
(คนที่เกลียดเขาไปทั่ว) ในอนาคต และเกลียดคนที่ประสบความสำเร็จ
มากกว่าตัวเอง จงเต้นไปในทุกๆที่ที่เราเดินทางไปถึง !


3) ศึกษาประวัติศาสตร์การเต้นของ Street dance ในทุกๆสไตล์
จงเป็นคนที่รู้ลึก รู้จริง ในเรื่องของสไตล์การเต้น street dance และท่าในแบบต่างๆ
ทุกคนที่เข้าหาคุณได้อย่างไม่มีคำถาม จงเผยแพร่ความรู้ที่ตนเองเรียนรู้
มาจากรากฐาน และต้นกำเนิดของการเต้นนั้นๆ สิ่งนี้จะทำให้คุณสามารถ
เข้าใจการเต้นสไตล์ต่างๆได้ด้วย และ เป็น ตัวจริงไม่ใช่ของปลอม !
สื่งนี้จะทำให้คุณได้รับความเคารพมากกว่าเดิมเมื่อทุกคนจับตามองมาที่คุณ


4) ความเชียวชาญ (ฝีมือ)
เราอยู่ในโลกใหม่ของการเต้น แม้ว่าคุณจะไม่ชอบสไตล์อื่นๆในการเต้น
Street dance จงเรียนรู้ทุกสไตล์ให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถทำได้
และ จงยุ่งอยู่กับการฝึกฝนฝีมือชองตนเอง หลายๆท่า หลายๆสไตล์
เกิดขึ้นจากนักเต้นที่มีสไตล์ที่แตกต่าง ซึ่งมีการเรียนรู้มาจากสิ่งอื่นๆ
ความสามารถรอบตัวเหล่านี้คือการเต้น Streetdance ในยุคใหม่
โลกของการเต้นในปัจจุบันต้องการผู้สร้างสรรค์ ถ้าคุณไม่รู้จักการเต้น
BREAK , POP ,LOCK , FREESTYLE ,HOUSE , GROOVE และ
คุณไม่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้ บทความนี้ไม่ใช่บทความสำหรับคุณ
จงอย่าลืมเก็บรายละเอียดในความสามารถของคุณ จงตื่นตัว และเป็นคน
ที่พัฒนาตนเองอยู่เสมอ  และ ซ้อม Freestyle และ ความลื่นไหล ให้มาก
กว่าการจำชุดท่าเต้น หรือ จำ SET ท่า จงทำให้ Set ของคุณสั้นลง และ
Freestyle ให้นานขึ้น



5) จงมีนิสัยในการใช้อินเทอร์เน็ท
ลงทะเบียนทุกๆอย่าง เช่น YOUTUBE , ITUNE BLOG  ,FACEBOOK ,
FACEBOOK FAN PAGE (Facebook นี่ผมเพิ่มเติมนะให้นะครับเพราะปัจจุบัน
คนนิยมใช้กันมาก),TWITER หรือระบบโซเชียลเน็ทเวิร์คต่างๆ ที่เราสามารถ
สื่อสารกับคนอื่นๆได้  ใช้ IMIX เพื่อทำลิสเพรงโปรดของคุณบน iTunes และ
สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเพียงพอ ขอให้คุณลงทะเบียนไว้อย่างน้อย3-5  บล็อกเพื่อเผย
แพร่ข้อมูลเกียวกับตัวของคุณ ลงวีดีโอของคุณบน Youtube ฯลฯ
โปรโมทตัวเอง คือการโปรโมทที่ดีที่สุด ไม่มีใครอธิบายตัวของคุณได้ดีกว่าตัวคุณอง



6) จงเป็นผู้ใช้นักธุรกิจ (Hustle)
นักเต้นเป็นพวกที่ทำงานใช้ร่างกายอยู่ตลอด เราจึงเป็นนักธุรกิจไปโดยธรรมชาติ
ผมแนะนำให้เป็นนักธุรกิจ ที่ใช้งานนักธุรกิจอีกทีนึง เพราะ นักธุรกิจได้รับเงินจาก
จากการทำงานของคนใช้แรงงาน นักธุรกิจอย่างเราจึงสมควรได้รับการจ่ายเงินที่มา
จากการทำงานหนักเช่นกัน ตื่นให้เช้า นอนให้ดึก ทำงานให้หนักอย่างสม่ำเสมอ
รักษาอาหารให้อยู่บนจานเสมอ จงเป็นผุ้ที่ยุ่งกับการใช้งานนักธุรกิจ


7) จงเป็นนักสังคม
ไปงานเต้นทุกๆงานเท่าที่สามารถเป็นไปได้ ทั้งงานเต้นแบบตลาด และงานเต้นแบบใต้ดิน
เขียนบล็อก , ลงฟอรั่ม (Group หรือ เว็บบอร์ด) ,ลงวีดีโอ Youtube แบ่งปันประสบการณ์
ความรักในการเต้นของคุณที่มีต่อวงการ ผู้คนต้องรู้จักคุณ และชอบคุณ และอยากจะร่วมงาน
กับคุณ แต่จงจริงใจกับการกระทำ ผู้คนจะมองเห็นคุณอย่างถูกต้องเอง และท้ายที่สุดเป็น
ที่มาของคลาสสอนเต้นแรกของผม จงเต้นเพื่อความรัก !



8) เตรียม VDO โปรโมทและโปรไฟล์อย่างสม่ำเสมอ
พิมพ์หรือถ่ายเอกสาร ออกมา 50-100 ชุด ต่อเดือน แล้วส่งจดหมายให้ทุกคนทันที
อย่าปล่อยทิ้งไว้จนฝุ่นเกาะ เปิดสมุดโทรศัพท์ ค้นหาคนที่ประสานงานกับวิทยาลัย
สอนเต้น -ไปจนถึงสตูดิโอสอนเต้นในยุโรป คุณจะสร้างชื่อของคุณให้ขยายออกไป
และได้งานที่ดีขึ้น โดยการส่งเอกสารของเราเป็นจำนวนมาก


9) เลือกการเข้าร่วมออดิชั่น หรือ การคัดตัวนักเต้นอย่างระมัดระวัง
อย่ากระโดดเข้าไปในทุกๆที่ๆมีออดิชั่น จงแน่ใจว่าการเข้าร่วมออดิชั่นเหล่านั้น
ช่วยให้เพิ่มพูลสไตล์การเต้นของคุณ และสิ่งที่คุณเชื่อเกี่ยวกับการเต้นเท่าที่
คุณยังคงอยู่ จงอย่าประนีประนอม ! ผู้คนจะให้ความเคารพนับถือคุณมากขึ้น
เมื่อคุณมีจุดยืนเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันจงอย่าเป็นคนหยิ่งยะโสในสิ่งที่
คุณเชื่อ จงสร้างออร่าแม่งความสุจริตใจ ให้ความเคารพกับทุกสไตล์การเต้น และ
ทุกความเชื่อ แต่จงทำตัวให้พร้อมกับทุกๆสิ่งเสมอ


10) เจรจาต่อรอง
อย่ากระโดดลงไปในทุกๆข้อเสนอ เช็คเรทราคางานในปัจจุบัน คุยกับผู้เชี่ยวชาญ
ในการเต้นเกี่ยวกับค่าจ้าง ถ้าคุณยังไม่แน่ใจ หาข้อมูลด้วยตัวคุณเองก่อนที่จะมีการ
เจรจาต่อรองใดใด ความรู้คือพลัง และการเคารพตนเองเป็นเรื่องสำคัญ มากเกินกว่า
ที่คุณจะถูกหลอกใช้งาน จงจำไว้ว่า ผู้กับกับลงทุนไปกับงบประมาณของหนังเต้น
อย่างมากมาย แต่เขาจะเสนอเพียงแค่ส่วนของเงินเพียงเล็กน้อยให้กับนักเต้น เพราะ
เข้ารู้เสมอว่าเขาสามารถหานักเต้นที่ค่าตัวถูกกว่าได้ เป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าใจ


11) การสอนคือการเรียนรู้
จงสอน ถ้าคุณเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น จงสอนแบบเริ่มต้นให้ฟรีๆ อย่างที่คุณเรียนรู้มา
หาบ้านที่ 2 ของคุณใน สตูดิโอที่ดี และสอนให้มาก งานมากมายจะเข้ามาจากชื่อเสียงที่
กระจายไปรอบๆเมืองผ่านคลาสสอนเต้นของคุณ และเป็นเรื่องปกติที่บริษัททำละคร
(เธียร์เตอร์) และอุตสาหกรรมต่างๆจะเข้ามาหาคุณโดยผ่านโรงเรียนสอนเต้น 
เขาอาจจะหาครูที่จะมาออกแบบท่าเต้นให้กับงานกิจกรรมอีเว้นท์ที่กำลังจะมี นักเรียน
ที่มาเรียนกับคุณเป็นกระบอกเสียงสำคัญในการกระจายข่าวเกี่ยวกับคุณ และเมื่อคุณ
สอนอย่าป้อนทุกอย่างเข้าปากนักเรียน จงสร้างความท้าทายให้กับนักเรียนในทุกๆคลาส
 คุณอาจจะได้นักเรียนน้อย แต่คุณจะได้นักเต้นที่ดีกว่า และนักเต้นเหล่านั้นจะให้เครดิต
ไปในทุกๆที่ๆเขาไปกับคุณเพราะคุณคืออาจารย์ของเขา



12) สร้างแบรนด์และสโลแกนของตนเอง
ใช่แล้ว ! จงทำให้ชื่อของคุณลื่นไหลไปกับสไตล์ของคุณ สร้างสโลแกน
ที่คุณพูดเป็นประจำในคลาสสอนเต้น และในทุกๆที่ ที่คุณไป โปรโมทชื่อ
ของคุณในสาธารณะควบคู่กันไป สร้างเว็บไซต์ ,ทำเสื้อ ฯลฯ ถ้ามันขายไม่ได้
จงแจกฟรี เพราะสิ่งที่สำคัญมากกว่าคือการที่คุณได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นว่า
คุณเป็นใครและ เขาเหล่านั้นจะนำชื่อ ,สโลแกน และความเชื่อของคุณ
ไปกับเขาด้วยคุณไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นร้านขายเสื้อผ้า หลักใหญ่คือ
การสร้างโอกาสในการจ้างงานให้มีมากขึ้น


ถ้าคุณต้องการให้คนในอุตสหกรรมต่างๆติดต่อคุณ 
เพื่อที่จะซื้อในความเป็นคุณ และสิ่งที่คุณยืนหยัดเพื่อ
และสำหรับผมมันคือความรู้สึกที่สุดยอดในการเป็นนักเต้นมืออาชีพ !



อย่างที่ Mr. Wiggles พูดไว้ครับ เราจะคงความเป็นเรา ได้ทำงานใน
รูปแบบที่เราชอบอย่างต่อเนื่อง มันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดจริงๆครับ
ผมการันตี เพราะผมเองก็ทำอยู่ ถ้าคุณไม่ทำแล้วใครจะทำครับ ลุย !




Credit reference web site : http://www.mrwiggles.biz/hip_hop_dance_business.htm


เคล็ดลับธุรกิจส่วนตัวกับการเต้น Street dance [Part 2]
http://cheno4flow.blogspot.com/2015/08/street-dance-part-2.html


อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

นาฏศิลป์ "จริต" ไทย

สวัสดีครับทุกท่านที่เคารพรัก ผมไม่ได้เข้ามาเขียนได้ซักพักนึงจริงๆมีหลายเรื่อง
ที่อยากจะเขียนแต่ก็ไม่มีเวลาได้มาเขียนซักที วันนี้ผมอยากจะคุยในประเด็นที่เป็น
ดราม่าอยู่เมื่อไม่นานมานี้ซึ่งทำให้เกิดกระแสการตื่นตัวทางวัฒนธรรมไทยอย่าง
เห็นได้ชัด คือ เรื่องที่ว่า ร่างของแผนการเรียนการสอนของการศึกษาชั้นต้นไม่มี
วิชานาฏศิลป์ไทยอยู่ในวิชาเรียน


 จะว่าไปแล้ววิชานาฏศิลป์ไทยเป็นวิชาหนึ่งที่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับผมตอนเรียน
สมัยประถม เป็นวิชาที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร รู้แค่ว่าได้เข้าไปในห้องแอร์
เย็นๆ มีพรมนิ่มๆให้นั่งแล้วคุณครูก็น่ารักๆ ผมยังจำได้ ตอนนั้นไม่ได้สนใจว่ากำลัง
เรียนอะไร แต่สนใจแค่ว่าคุณครูน่ารักมากผมเลยตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ฮ่าฮ่า


จริงๆวิชานี้พอผมเริ่มโตขึ้นมาเข้ามัธยมต้นก็ได้เรียนน้อยลง แต่ก็ยังได้เรียนอยู่บ้าน
เป็นวิชาที่ผ่อนคลายดี เพราะมันไม่ต้องอ่านไม่ต้องจดหรือเขียนอะไร นั่งสบายๆ
แล้วทำท่าต่างๆตามไป เรียนรู้ประวิติศาสตร์ของมัน แม้จะจำไ้ด้บ้างไม่ได้บ้างผมก็
ยังเรียนไป เพราะมันก็ยังดีกว่าให้ผมไปนั่งเรียนคณิตศาสตร์เครียดๆ (สำหรับผมนะ)
พอจบมัธยมต้นวิชานี้ก็ได้หายไปจากการเรียนของผม แต่ผมก็ยังได้ไปช่วยเขาบ้าง
ในบ้างโอกาศเพราะผมเต้น B-boy เลยต้องไปช่วยงานของโรงเรียนบ้าง ไปประกอบ
โชว์ช่วยอาจารย์นาฏศิลป์ และ อาจารย์ด้านดนตรีอยู่บ่ายครั้ง


จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้มาสอบตรงเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานาฏศิลป์สากล
ตอนแรกๆผมก็ไม่ทราบว่าเข้าไปแล้วจะต้องเรียนอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเข้าไปจะได้เรียนเต้น
และก็จบปริญญาตรีได้เหมือนกัน ผมเลยสอบเข้าไปเลย ที่มหาลัยผมด้านนาฏศิลป์
มีอยู่ 2 สาขาคือ นาฏศิลป์สากล และ นาฏศิลป์ไทย สอบจากนักเรียน 200-300 คน
(ปัจจุบันอาจจะมีมากกว่านั้นแล้ว)คัดเหลือ 15-17 คน  ต่อ 1 สาขาดังนั้นคนที่ติด
ก็ต้องพอไปวัดไปวาด้านเต้นหรือรำได้พอสมควร การสอบดูเหมือนจะง่ายแต่มันก็
ไม่ง่ายเลยถ้าคุณอยู่ดีๆไม่เคยเต้นหรือรำเลยแล้วลองเข้ามาสอบ


ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของนาฏศิลป์ จนกระทั่งสอบติดและได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย
ความเข้าใจของผมเปลี่ยนไปจากเดิมมากเมื่อเข้าไปในสังคมนั้นจริงๆ การเีรียนนาฏศิลป์
ไทยหรือสากล หลายคนอาจจะถามว่าจบมาไปทำอะไรกิน เป็น Dancer ? รับงานจ้างรำ ?
เป็นครูสอนเต้น ? เป็นนักออกแบบท่าเต้น ? หรือเปิดโรงเรียนสอนเต้น ? อาชีพที่ผมกล่าวมา
ไม่ได้จำกัดไว้สำหรับคนที่เรียนมหาลัยจบไปแล้วเพียงเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ใครๆก็ทำได้
เด็กประถมก็เต้น เด็กมัธยมก็เต้น แล้วเด็กพึ่งจบมหาลัยล่ะ จบเต้นมาแล้วไม่แก่เกินไปหรือ
สำหรับการเต้น ?  นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกว่าเราเรียนสาขานาฏศิลป์ไปเ้พื่ออะไร ?
ผมว่ามันคือการพัฒนาวิธีคิด การเปิดมุมมองใหม่ๆกับสิ่งรอบๆต้ว การสร้างจุดยืนที่บาง
วิชาไม่เคยบอกคุณว่าต้องมี แต่ในการทำงานหลายๆอาชีพบอกคุณว่ามันต้องมี ไม่งั้น
คุณจะกลายเป็นพวกคนทั่วๆไปที่ทำงานแบบใครๆก็ทำได้ วิชานี้ให้สังคมที่กว้างขึ้นเพราะ
คุณจะไม่สามารถเป็นแดนเซอร์ไปตลอดชีวิตแน่ๆ คุณจะพบเจอคนใหม่ๆ อาจจะได้ไปทำงานที่
ไม่เคยทำงานแปลกๆนอกสาขา ซึ่งอาจจะทำให้ทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปในอนาคต
 และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ คนที่เรียนสาขานี้ได้ตอบสนองความสุขของตนเอง มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณ
จะเรียนสาขานี้มาหรือไม่แต่คนที่เรียนจะมีมุมมองที่แตกต่างจากคนที่ไม่ได้เรียน มันได้วิธีคิด
ที่แตกต่าง จากคำว่า " ใครๆก็เป็นได้ " คุณจะรู้วิธีเอาตัวรอดและปรับตัวได้จากสิ่งที่คุณ
เป็นและสามารถหาเลี้ยงชีพได้จากสิ่งที่คุณรัก นั่นคือข้อดีจากการเรียนสาขานี้


ร่างหลักสูตรใหม่ ที่เพิ่งจะมีปัญหาไปเมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์นาฏศิลป์หลายท่านรวมถึงนิสิต
นักศึกษาต่างพากันรวมตัวเพื่อขอความชัดเจน ว่าต้องมีวิชานาฏศิลป์บรรจุลงไปในการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน โดยให้เหตุผลว่า หน่วยกิจของหมวกวิชาศิลปะมีเพียง 0.5 แล้วนำมาหาร 3 กับ
อีก 2 วิชาศิลปะ ว่าง่ายๆคือเรียนเพียง 1 คาบ ต่อ 1 อาทิตย์ และคะแนนของวิชานี้มีผลน้อยมาก
ต่อผลการเรียนทั้งหมด แต่ในร่างหลักสูตรกลับไม่มีวิชานี้เขียนลงไป โดยให้เหตุผลว่าเด็กไทย
เรียนวิชาวิทยาศาตร์อ่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เป็นการแกปัญหาแบบค่ำๆคูๆ
ในกรณีที่ถ้าการตัดวิชานาฏศิลป์ออกจากการศึกษาขั้นพื้นฐานเกิดขึ้นจริงจะมีกระทบทันทีกับ

1) ครูที่สอนนาฏศิลป์ท่านจะตกงาน

2) เด็กไทยจะรู้จักนาฏศิลป์ไทยแค่จากในทีวี ,หนังสือ ,อินเทอร์เน็ท หรือไม่ก็จากที่รำแก้บน

3) เด็กที่มีพรสวรรค์หรือสนใจในสาขานี้จะไม่มีวันได้สัมผัสนาฏศิลป์เลย

4) โรงเรียนนาฏศิลป์มีหลายแห่งทั่วประเทศจะไม่สามารถหาเด็กที่
    มีพื้นฐานมาต่อยอดโดยง่าย

5) เมื่อไม่มีพื้นฐานจากประถม มัธยม แล้วก็จะไม่มีพื้นฐานอะไรไปต่อในมหาวิทยาลัย

6) สมบัติของชาติจะค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของประชากรไทยยุคใหม่

7) นาฏศิลป์ไทยอาจจะไม่หายไปแต่จะำหาเรียนได้ยากขึ้นกว่าเดิม

8) ประชากรยุคใหม่จะรู้จักแต่วัฒนธรรมต่างชาติ ส่วนวัฒนธรรมตนเองก็ไม่รู้จักมันจริงๆ

9) ถูกกลืนวัฒนธรรมได้ง่าย ด้วยเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้อะไรเปลี่ยนไปรว่ดเร็วเช่นกัน


นั่นเป็นตัวอย่างคร่าวๆที่ผมยกขึ้นมาให้ดูถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ หลายๆคนจะลำบากคน
ที่ทำหน้าที่รักษาสมบัติวัฒนธรรมของชาติจะกลายเป็นคนที่ไร้ความหมาย และคนที่ไร้ความ
หมายตามมาอีกก็คือคนไทยทุกๆคน นาฏศิลป์ไม่ใช่การแสดงเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
แต่มันมีนัยยะซ่อนอยู่ในนั้นซึ่งหลายๆคนไม่เข้าใจ รูปแบบของท่ารำหรือจังหวะการขยับมัน
แสดงถึงความเป็นคนไทยที่มีนิสัยอ่อนน้อมถ่มตน มีน้ำใจ ขี้อาย และมีสัมมาคารวะ คนไทย
มีความเนิบช้า แต่ก็สบายๆไม่เร่งรีบซึ่งตรงกับลักษณะของนาฏศิลป์ไทยโดยตรง มันคือราก
เหง้าที่สื่อถึง "จริต" ของคนไทยแท้ๆได้อย่างลึกซึ่งโดยไม่ต้องอธิบายมาก


นาฏศิลป์ไทยมีการพัฒนาขึ้นมามากมายหลากหลายรูปแบบ หลากหลายภูมิภาค มีนาฏศิลป์ไทย
ในรูปแบบที่ต่างกันไปตาม "จริต" ของคนในภาคนั้นๆแต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของคนไทยซึ่งเป็น
จริตหลักๆอยู่นั่นเอง นาฏศิลป์ไม่ได้สอนแต่การนับจังหวะฟังเพลง หรือ วิธีการขยับร่างกาย
เพียงเท่าั้นั้น แต่มันสอนรากเหง้าของจิตวิญญาณของบรรพบุรุษจากรุ่นหนึ่งสู้อีกรุ่นหนึ่ง 
สอนวิธีคิดที่เป็นรากทางวัฒนธรรมของเราผ่านการขยับร่างกายตามจังหวะดนตรี


ในฝั่งจะวันตกนาฏศิลป์ในสมัยโบราณไม่ได้มีมากมายหลากหลายมากเท่าฝั่งเอเชีย หรือแม้แต่
บ้านเรา นั่นแสดงถึงว่า ด้านจิตใจและวัฒนธรรมของเราได้ก้าวล้ำนำสมัยไปมากกว่าฝั่งตะวันตก
มาก คนมีสุนทรียที่แตกต่าง มีความลึกซึ้งด้านการคิดการสร้างสรรค์มากกว่า ไม่ใช่การเต้นเพื่อ
เป็นโชว์ปาหี่หรือสนุกสนานไปวันๆเพียงอย่างเดียว หลายๆคนพยายามจะบอกว่านาฏศิลป์
ไทยนั้นล้าหลังไม่มีการพัฒนาเหมือนกับนาฏศิลป์ตะวันตก อันที่จริงแล้วเรามีการพัฒนา
มาหลายร้อยปีแล้วก่อนหน้าที่นาฏศิลป์จะวันตกจะคิดค้นนาฏศิลป์ร่วมสมัยขึ้นมาเสียอีก 
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเอานาฏศิลป์ตะวันตกซึ่งเป็นงานร่วมสมัย มาเทียบกับนาฏศิลป์ไทย
ซึ่งเป็นงานต้นตำหรับได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาของ
คนไทยอย่างแท้จริง



คนที่คิดว่านาฏศิลป์เป็นเพียงอาชีพเต้นกินรำกิน ผมว่าเขาก็คิดไม่ผิดหรอกครับ แต่ทว่าอาชีพ
นี้มันได้พยุงอุ้มชูความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยไม่ให้หายไปอีกด้วย คนที่รำไทยเปรียบ
เสมือนฑูตวัฒนธรรมโดยตรงแบบไม่ต้องใช่ภาษาพูดกับต่างชาติ แต่เขาสามารถเรียนรู้คนไทย
ได้จากสิ่งที่เขาเห็นสิ่งที่เขาได้ยิน และเขาก็จะกลับมาบ้านเราครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเสพสิ่งเหล่านี้
นอกเหนือจากนี้ในบางประเทศยังมีสาขานาฏศิลป์ไทยให้เรียนในมหาวิทยาลัยอีกด้วย



วันนี้ขอบ่นแค่นี้ล่ะครับ ผมคงไม่พูดอะไรถึงคนร่างหลักสูตรหรือดราม่าที่เกิดขึ้นจากการเมือง
หรืออะไรก็ตาม แต่ผมจะบอกว่าวัฒนธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำให้เราเรียกตัวเองได้เต็มปากว่าเรา
เป็นคนไทย เรามาจากเมืองไทย เราพูดภาษาไทย เรามีจริตแบบไทยๆ เรามีความคิดแบบ
ไทยๆเราใช้ชีวิตแบบไทยๆ เรามีรอยยิ้มแบบไทยๆ ซึ่งถ้าใครที่ไม่ใช่คนไทยก็ยากที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้วิชานาฏศิลป์ช่วยให้คนอย่างผมจบออกมามีความคิดดีๆ มีชีวิตดีๆ ภูมิใจและรัก
ในความเป็นไทยที่ใครๆถามผมก็ภูมิใจที่จะนำเสนอเรื่องราวของคนไทยให้กับเพื่อนๆต่าง
ประเทศฟังเสมอ สุดท้ายนี้นาฏศิลป์ไทยสำหรับคุณนั้นคืืออะไร ก็มีเพียงแต่ตัวคุณเองเท่า
นั้นแหละครับที่ตอบได้


สวัสดีครับ :) 



อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ในวิกฤติมีโอกาส

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ผมไม่ได้มา Update มานานพอสมควร
หวังว่าทุกท่านคงจะสบายดีช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยดูแลสุขภาพให้ดีนะครับ
(ทิฟฟี่ ไม่ใช่สิ 555)


ชีวิตของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่เีรารู้และก็ไม่รู้ตัว บางสิ่ง
วิ่งเข้ามาในจังหวะที่ไม่พอดี แต่มันไม่เคยบังเอิญเพราะมันมีเหตุผลของมันเสมอ
มีที่มา มีที่ไป ถ้ามานั่งคิดดีๆก็จะสามารถหาต้นเหตุของสิ่งๆนั้นได้เอง


บทเรียนหลากหลายเกิดจากปัญหาต่างๆที่เข้ามาหาเราทั้งที่เราก่อเองและไม่ได้ก่อ
ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว และหลายครั้งสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดมักจะเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
หลายๆอย่าง ดังนั้นการมีสติเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เป็นการยากที่เราจะควบคุมอารมณ์
ไม่ให้อินไปกับปัญหาต่างๆ การมองปัจจุบันและแก้ปัญหาไปทีละเรื่องบางครั้งมันไม่ใช่
เรื่องง่ายเลย เมื่อสุขภาพจิตเราไม่ดีอะไรต่างๆก็เริ่มเลวร้ายตามความคิดเราไปด้วย
ทำอะไรก็ดูไม่ถูกใจไปหมด อะไรๆก็ดูขัดหูขวางตา ปัญหาทำให้เรามองถึงอนาคตที่
เลวร้ายที่กำลังจะตามมา ความคิดเลวๆพวกนั้นกัดกินเราจนเราตั้งสติไม่อยู่ คิดวนไปมา
ไม่จบไม่สิ้น เหมือนหมาที่ไล่กัดหางตัวเอง บางครั้งถ้าเราตัดหางหมาไม่ได้ เราก็ต้อง
ปล่อยมันทำเป็นมองมันไม่เห็น รอเวลาให้หางมันหยุดกระดิกไปเอง มันเป็นความบ้า
คลั่งของมนุษย์อย่างหนึ่งที่ทุกคนเป็น





















มนุษย์ทุกคนมีวิธีการจัดการปัญหาของตัวเองด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป ตามสัญชาตญาณ
ของแต่ละบุคคล ในปัญหาพวกนั้นมันเป็นอะไรบางอย่างที่เข้ามาทดสอบคนเราว่าเราจะ
สู้กับมันได้มันและอึดกับมันได้มากแค่ไหน บางคนอึดมากแต่ไม่เข้มแข็ง บางคนเข้มแข็ง
มากแต่ไม่มีความอึดพอ ปัญหามันเลยเกิดซ้อนขึ้นมาทำให้เราทำอะไรลำบากขึ้น เหมือน
อยู่ดีๆมันมีกำแพงเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นในแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจ ผมเรียกว่า "กำแพงความอารมณ์"
และ "กำแพงความคิด" สองอันนี้มันหนาพอๆกัน อยู่ที่ว่าคนไหนถนัดปีนกำแพงแบบไหน



























กำแพงทางความคิด

เป็นกำแพงที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกไม่มั่นใจกับอะไรบางอย่างปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเลย
ไม่สามารถแก้ได้เพราะเรามัวแต่งุนงงอยู่กับ ว่าจะเอายังไงดีคิดย้อนไปย้อนมาจน
เกิดความรู้สึกกลัวที่จะสู้กับปัญหาเหล่านั้น มักจะเกิดขึ้นกับคนที่คิดมาก เพราะคนคิด
มากจะมีความไม่มั่นใจในตัวเองอยู่สูงจนก่อให้เกิดปัญหาจนปวดหัวไปหมด และ
กลายเป็นคนที่ไล่กัดหางตัวเองในที่สุด






















กำแพงทางอารมณ์ 

เป็นกำแพงที่น่ากลัวไม่แพ้กับกำแพงแรกที่ผ่านมา กำแพงนี้จะเกิดขึ้นกับคนมีอารมณ์
อ่อนไหวเมื่อเจอกับปัญหาแล้วว่าง่ายๆคือ ไม่เข้มแข็งนั่นเอง คนพวกนี้จะไม่ค่อยคิดมาก
แต่จะใช้อารมณ์พาไปหาวิธีแก้ปัญหา ซึ่งการที่อารมณ์ไม่คงที่ทำให้เราไร้สติและสามารถ
ทำอะไรที่ผิดพลาดได้มาก ขาดความรอบคอบ และยับยั้งชั่งใจ กำแพงนี้เป็นกำแพงที่
อันตราย ปีนพลาดอาจตกลงมาถึงตายไม่ก็ช้ำในได้





ในปัญหาของเราทุกคนถ้าเราใช้สติ ปล่อยให้อารมณ์เสียๆ หรือ อารมณ์ที่ฟุ้งซ่านผ่าน
ไปมันก็จะค่อยๆเห็นทางออกที่ชัดขึ้นเอง แม้บางทีมันมืดแปดด้านแต่ยังไงซะเราก็
ต้องหาด้านที่เก้าเจอเข้าจนได้ เพราะจริงๆตัวเราสร้างกำแพงพวกนี้ขึ้นมาเองโดยไม่ได้
ตั้งใจ การปีนกำแพงเลยไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคนเหมือนกัน ถ้าคุณมี สติ ก็เท่ากับว่ามี
อุปกรณ์เซฟตัวเองกันร่วงได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ทว่าจะทำอย่างไรล่ะ ?


การหาอะไรทำที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาความคิดที่ไม่เลวเลย ทำเป็นว่านอกเรื่องมันไปเลย
พอออกนอกเรื่องแล้วมันเท่ากับว่าเราไม่สนใจปัญหาพวกนั้นแล้ว ไม่คิดถึงมัน ลดภาวะทาง
อารมณ์ไปได้มากลดความฟุ้งซ่านได้มาก ทีนี้วิธีกาีรแก้ปัญหาก็จะค่อยๆออกมาเอง การขยี้
อะไรซ้ำๆไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนักดันจะทำให้มันเป็นกำแพงที่สูงขึ้นไปอีก เราต้องหัด
ปล่อยมันไปตามธรรมชาติของมันดูบ้าง เพราะไม่คิดก็ไม่ตาย เราเองต่างหากที่คิดว่า
มันจะตาย


ในรูปแบบของปัญหานั้นๆมีโอกาสบางอย่างที่เราไม่ได้สังเกตุเสมอ บางครั้งเรื่องเลวร้าย
ที่เข้ามาทดสอบเราอาจจะมีอะไรบางอย่างให้เราได้ทำก็ได้ อาจด้วยความจำเป็นหรืออะไร
ก็ตาม แม้เราจะไม่ชอบมันแต่เราได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น เปิดใจในแบบ
ที่ไม่เคยคิดจะเปิดมาก่อนก็ได้ใครจะไปรู้ มันเป็นครูที่ดีที่สุดของเราเลยก็ว่าได้




ปัญหา ----> ประสบการณ์ ----> โอกาส ----> สิ่งใหม่ !




ก่อนที่คุณจะเห็นโอกาสพวกนั้นคุณต้องเห็นตัวคุณเองก่อนว่ากำลังทำอะไรอยู่ ดูว่าปัญหา
มันคืออะไรแล้วจะจัดการกับมันแบบไหน ? แล้วมันมีกี่วิธีกัน ? ถ้าแก้ไม่ได้จะทำยังไงต่อ ?
แผนสำรองมีมั้ย ? แล้วมันมีกี่แบบ ? ทำได้จริงหรือเปล่า ? สำหรับคนที่ยังฟุ้งซ่านผมแนะนำ
ให้อย่าคิดเรื่องพวกนี้มากให้คุณหาเวลาพักสมองปล่อยวางเรื่องต่างๆก่อน บางครั้งคุณอาจ
จะไม่ต้องเรียบเรียงเหมือนที่ผมบอกแต่มันอาจจะโผล่ออกมาเฉยๆในระหว่างที่คุณรู้สึกผ่อน
คลายก็ได้สมองของเรามีระบบการจัดการที่ดีเลิศอยู่แล้วแค่คุณเชื่อมันในมันแล้วมันจะสามารถ
แก้ปัญหานั้นได้เองโดยไม่ต้องปีนกำแพงให้เหนื่อยมากๆ 


 

อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5


วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

"Style" รูปแบบชีวิต

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน
เดี๋ยวอบอ้าว เป็นอากาศที่น่าหงุดหงิดมากๆ ยังไงก็ดูแลสุขภาพกายและใจให้
ดีๆกันนะครับผม วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง "Style" หรือ แนวทาง



เรื่องของแนวทางเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการเต้น การทำงาน และ ในเชิงศิลปะ
จริงๆ style เป็นเพียงแค่รูปแบบ และ รสนิยมของผู้ที่ดำเนินงาน เป็นโครงสร้างของสิ่งต่างๆ
ที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ในด้านต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการปรับทัศนคติ
ที่เป็นตัวตนให้มาลงกับผลงานหรือความสามารถ ก่อนที่จะมาเป็น style ใดใด ล้วนมีที่มา
ที่ไปและแรงบรรดาลใจที่แตกต่างออกไป เป็นการเก็บเล็กผสมน้อยประกอบจนกลายมา
เป็นของใหม่ บางครั้งตัวตนเหล่านี้ฝังรากลึกมาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ และ
ความทรงจำ ความชอบในวัยเด็ก เป็นการแสดงออกที่มีมายาวนานจนเป็นนิสัย




เมื่อคนเราเริ่มเรียนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คำว่า style ก็จะค่อยๆโผล่ออกมาแบบที่เราไม่
รู้ตัว เมื่อทำเข้า เรียนเข้า รู้เข้า ก็เห็นมากขึ้น เลือกได้ง่ายขึ้น เรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง
มีทัศคติที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆเอง เพราะมองโลกของตัวเองมากกว่าโลกภายนอกที่
สังคมปกติมองกัน เมื่อทัศนะคติมีความแข็งแกร่งมากขึ้น รูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงาน
ก็จะชัดเจนขึ้น มีทิศทาง มีรูปแบบที่ตนเองต้องการ บางครั้งเมื่อทัศนะคติที่แข็งแกร่งเกินกว่า
โลกแห่งความเป็นจริงมันก็อันตราย เพราะชีวิตที่อยู่ในโลกของเรามันไม่สามารถทำทุกอย่าง
ได้จริงๆ แต่โลกความจริงบางครั้งก็ทำร้ายโลกภายในของเราจนบอบช้ำำได้เหมือนกัน



การที่เราจะรักษาสมดุลย์ระหว่างโลกของเรา (Style) กับ โลกภายนอก จำเป็นจะต้อง
วางแผนชีวิตของเราให้ดีๆเสียก่อนเพราะโลกภายนอกไม่เข้าใจโลกภายในของเราซะทุกอย่าง
บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้โลกภายนอกเพื่อสื่อโลกภายในของเราออกไปให้คนปกติรับรู้
มันอาจจะใช้ไม่ได้ผลนักแต่การที่จะให้คนหลายๆคนมาเข้าใจในสิ่งที่เราคิดนั้นมันต้องใช้เวลา
ความสามารถ การสนับสนุนที่ดี การประชาสัมพันธ์ที่ต่อเนื่อง การเชื่อมต่อประสานของผู้คน
และปัจจัยอีกหลายๆอย่าง โลกแห่งชีวิตจริงไม่เคยยอมรับความแตกต่างของใครได้จริงๆ
เราจึงต้องเผื่อช่องว่างระหว่างโลกความจริงและโลกของเราเอาไว้ตรงกลางด้วย  







คนบางเข้าใจตนเองจนหลงเข้าไปในสิ่งที่ตนเองเลือกเป็นแนวทางมากจนเกินไป และ เริ่มคิดว่าสิ่งนี้วิเศษที่สุดไม่มีอะไรเทียบได้อีกแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้จะ้เกิดการยึดเกาะของความคิดกับ styleนั้นๆ ผมเรียกเรื่องแบบนี้ว่าการ "หลง style" เมื่อเรายึดติดกับอะไรซักอย่างมากๆ นานๆ การพัฒนารูปแบบจะไม่เกิดขึ้น มันจะเป็นไปในทางเพิ่มพูนสิ่งที่มีอยู่แล้วมากกว่า แต่ไม่ได้เป็นไปในทางพัฒนาความรู้ที่เรามีให้สูงกว่าเดิม มันจะเป็นไปในเชิงประมาณแต่ไม่ใช่ในเชิงของคุณภาพที่ดีขึ้นเมื่อเรายึดติด style ใดมากจนเกินไปเราจะรู้สึกเบื่อ และไร้ซึ่งจินตนาการ ขาดการหยั่งรู้ในความสามารถต่อๆไปในตัวของเรา เมื่อเราปลดล็อกความคิดเกี่ยวกับการ หลง style รูปแบบก็จะไม่ติดอยู่ที่รูปแบบเดิมๆ ความสนุกของคุณก็จะมีอยู่ตลอดเมื่อคุณรู้จักที่จะปล่อยให้มันวิ่งไปบนเส้นทางของมันโดยไม่ต้องล่าม !










บางคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่ผมพูดคือการบอกให้ ทิ้งตัวตนที่เป็นอยู่แล้วไปหาอันใหม่ จริงๆมันไม่ใช่
แบบนั้น เพราะถึงคุณพยายามที่จะทำสิ่งใหม่ลองทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง ในนั้นมันก็ยังคงมี style
ของคุณอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ คนหลายคนลืมไปว่ามันติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว บางทีเราแทบไม่
ต้องค้นหามันเลยด้วยซ้ำ มันอยู่กับเราตลอดเวลาที่เรากำลังดำเนินชีวิต ฉนั้นการทำสิ่งใหม่ลองอะไร
ใหม่ๆที่ไม่ใช่ตัวเอง มันก็สามารถทำให้คุณได้แรงบรรดาลใจใหม่ๆในการใช้ชีวิตในรูปแบบของคุณ
ได้เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้มองเห็นตัวเราได้ตลอดเวลา ขอเพียง
เรารู้ว่าทัศนคติของเราเป็นอย่างไร เราก็จะเห็นได้ยิ่งชัดเจน 






ถ้าเราเข้าใจกฏธรรมชาติพื้นฐานได้เราก็จะเข้าใจกฏของการใช้ชีวิตได้เช่นกัน รูปแบบ
ของเราเราจะไม่ได้เป็นแค่รูปแบบแต่จะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เหมือนกับอวัยวะที่เราสามารถใช้เมื่อไหร่ก็ได้ที่เราต้องการ แต่เมื่อเราสั่งการแล้ว ก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับสิ่ง
รอบข้างเพราะ style ของเราเป็น ส่วนหนึ่งของโลกด้วย ทุกสิ่งล้วนไม่อยู่นิ่ง ล้วนโยกย้ายถ่ายเทและแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเรายึดมากหลงมาก เราก็ยากที่จะเดินต่อไปข้างหน้า มองและชื่นชมแต่สิ่งเดิมๆที่ตนเองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อทำไปนานๆเข้าก็จะเกิดความกลัวเพราะเชื่อไปแล้วว่าตนเองไม่สามารถพัฒนาได้แล้ว เลยเอาสิ่งที่ตนเองทำอยู่ตลอดมาเป็นเกราะเพื่อป้องกันตัวเองจากความคิดของคนอื่นๆที่จะมาขัดแย้งกับตน แต่ในขณะที่คุณไม่ยึดติดกับรูปแบบมากจนเกินไปคุณจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้มากขึ้น ยอมรับผู้อื่นได้มาก
ขึ้น มีความกล้าหาญมากขึ้น มีจินตนาการที่มากขึ้น ไม่มีความซ้ำซากจำเจ ปรับตัวได้กับ
ทุกสถานะการณ์ เมื่อคุณเปิด ประตูแห่งรูปแบบที่ไร้ขีดจำกัด ประตูแห่งจักรวาลก็จะเปิด
รับตัวตนของคุณเองด้วย !  




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5


วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วิวัฒนาการไร้ขีดจำกัด

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านวันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องที่้เราไม่ค่อยจะพูดถึงนัก
ในสังคมสมัยใหม่เพราะเรามักมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่
ทว่าการได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ คือ ความรู้ที่จะทำให้เราเข้าใจตัวตน และ บรรพ
บุรุษของเรามากยิ่งขึ้นว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร ทุกวันนี้เรามองว่าชีวิต คือ บาง
สิ่งบางอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นมาเองนั้นสำคัญกว่าอะไรในโลก เช่น เงิน
ทรัพย์สมบัติ , งาน , ตำแหน่ง , ลาภ ,ยศ ,ชื่อเสียง และ อำนาจ สิ่งเหล่านี้
เป็นเรื่องของมนุษย์ยุคใหม่ (จริงรึปล่าว?)


จากในตำราเรียนที่เราร่ำเรียนเรื่องของการกำเหนิดของสิ่งต่างๆบนโลก การ
เกิดขึ้นของชีวิตเรา บอกเราว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร พาเรามาจนสังคม
ของมนุษย์กลายเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้


มนุษย์ยังคงมีความเชื่อว่าตนคือศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ตลอดเวลา แม้จะ
พิสูจน์ได้แล้วว่าจักรวาลนั้นกว้างใหญ่มากเกินกว่าที่เราจะศึกษาค้นคว้าได้หมด
เชื่อว่ายังมีพระเจ้าที่มาสร้างเราให้เกิดขึ้นมาบนโลก โดยพระเจ้าก็มีรูปลักษณะ
ที่คล้ายกับเรา และเราคือเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทุกคนกำลัง
สร้างสิ่งที่เรียกว่าเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการสับสนหลงทาง



วิทยาศาสตร์นำความเจริญมาสู่โลกปัจจุบันมากมาย ทำให้ชีวิตของเรากลายเป็น
เหมือนบางสิ่งที่คล้ายพระเจ้า ทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้ (ในมุมมองของมนุษย์)
เราสร้างระบบการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในโลกบัญชาการมันเยี่ยงกับว่าเราคือเจ้า
ของโลกทั้งใบ จะทำอะไรก็ไำด้กับโลกใบนี้ วิทยาศาสตร์พาเราออกไปไกลถึงนอก
โลก ทำให้เราเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ด้วย "สมมุติฐาน"  



สมมุติฐาน คือ การตั้งคำถามขึ้นมาหนึ่งคำถามแล้วพยายามหาคำตอบจากมัน 
ด้วยการเดาเอาสุ่มๆ หรือการกะเกินด้วยตรรกะว่า โดยใช้ทฤษฎีว่ามันน่าจะเป็น
แบบนี้ แบบนั้น แล้วหาหลักฐานมาบอกเราว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงได้รับการพิสูจน์
แล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชาญฉลาดของโลก 




นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเราเกิดขึ้นมาจากวิวัฒนาการ ต่างๆจากเซลล์เล็กๆ
ไปเป็นสัตว์ต่างๆ ไปเป็นลิง จนกระทั่งกลายเป็นคนแบบที่เราเป็นทุกวันนี้ หลาย
อย่างที่เราเรียนรู้มาจนถึงทุกวันนี้ยังคงคลุมเคลือ เพราะยังคงมีหลักฐานประวัติ
ศาสตร์มากมายที่บ่งชี้ไปในแบบสวนทางกับทฤษฎีวิวัฒนาการ มีหลักฐานบาง
ชิ้นถูกพบขึ้นในสมัยที่เก่าแก่กว่ายุคที่มนุษย์เกิด ..











OOPARTS (Out Of Place Artifacts) หรือ "วัตถุเหนือยุค" เป็นวัตถุที่
ไม่น่าจะเกิดขึ้นในยุคนั้นแต่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนเมื่อนานมาแล้วบางชิ้นมีอายุกว่า 
2,800 ล้านปี  เช่น เครื่องบินเจ็ททองคำในโคลัมเบียร์ ,รูปปั้นและรูปวาดนักบินอวกาศ 
ของชาวมายา เป็นต้น มีหลายอยู่หลายชิ้นมากๆครับ ท่านใดที่สนใจลองไปหาข้อมูล
เพิ่มเติมต่อได้เลยครับ    






                                          
จากหลักฐานหลายอย่างทำให้หนังสือเรียนที่เราเคยเรียนมากลายเป็นแค่
นิทานหลอกเด็กที่เชื่อว่าวิวัฒนาการพาเรามาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้สังคมเรา
มุ่งหวังในสิ่งที่คิดว่าจะทำให้มนุษย์เจริญขึ้นๆ แต่ในเรื่องของจิตใจเรากลับ
ถดถอยลงเรื่องๆ ทุกอย่างเร็วขึ้น ทำให้เราใช้เวลาคิดน้อยลง ตัดสินใจไว
เกินไป สร้างอุปกรณ์ที่ใช้ในการขังความคิดตัวเองและผู้คนบนโลกไว้ลำพัง
ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับความฝัน จินตนาการ และ สันติภาพ การศึกษาทำ
ให้คนมีอำนาจควบคุมมนุษย์ำด้วยกันได้ง่ายขึ้น ระบบต่างๆสร้างมาเพื่อตอบ
สนองความต้องการส่วนตัวที่เรียกว่า "อัตตา"


มนุษย์ไม่เคยทิ้งอัตตาและเชื่ออยู่เสมอว่าตนคือผู้ยิ่งใหญ่และทรงปัญญา
วิชาการที่ดีที่สุดของโลกยุคสมัยใหม่กลับมีแต่ความมืดบอดไม่ต่างไปจาก
ศาสนา แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกันก็คือ "ศรัทธา" ผู้นำของทั้งสองฝ่ายต่างช่วง
ชิงอำนาจในการควบคุมมนุษย์อย่างไม่ลดละ  ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์
คือ "อัตตา" ความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่ตนคิดมากจนเกินไป
เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากเกินไป จนลืมมองไปว่าเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิต
ที่เล็กมากในจักรวาล อันที่จริงแล้วอัตตาคือที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์หากแต่
เรากลับปฏิเสธมันด้วยเหตุผลนั้น เหตุผลนี่ " วิทยาศาสตร์พิสูน์ได้ทุกอย่าง "
"พระเจ้าสร้างโลกเราต้องเชื่อมั่นในพระเจ้า" เราไม่เคยมองสิ่งต่างๆตามความ
เป็นจริง มุมมองของเรามุ่งออกไปที่สิ่งภายนอกตัวเรา ใช้ขีดความสามารถของ
เรากับสิ่งภายนอก หาข้ออ้างเพื่อมาหักล้างอัตตาของคนอื่น หากแต่แค่เราลด
ตัวตน ลดอัตตาของเราลง เราจะมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนในแบบที่มันเป็น
เรามัวแต่ไปตั้งคำถาม คิดคำตอบ จนลืมมองสิ่งต่างๆตามที่เป็นจริง








ถ้ามนุษย์เรามีวิวัฒนาการที่พัฒนาไปมากจริงๆ ทำไมคนส่วนมากในโลกยังคง
มีความสุขน้อยลง ยิ่งเทคโนโลยี ยิ่งเศรษฐกิจพัฒนาเท่าไหร่ คนก็ยิ่งอดอยาก
มากขึ้น สงครามก็ยังคงมีอยู่มากมาย คนทำงานในระบบที่ไม่มีความสุข รับการ
ศึกษาที่ไม่ได้เอาไปใช้ได้จริงๆในชีวิตประจำวัน สร้างสังคมที่สอนให้ทุกคนร่ำรวย
และมีอำนาจ นี่หรือการพัฒนา วิวัฒนาการทางจิตใจเราหายไปไหน ? 












ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและปัจจัยในการเกิดขึ้นเสมอ มนุษย์อาจจะเคยฉลาดกว่านี้เมื่อหลาย
ล้านปีมาแล้ว มนุษย์อาจจะเกิดแล้วตายมาแล้วไม่รู้กี่ล้านรอบแล้วก็ได้ หรือเราอาจจะ
ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ใครจะรู้ ?  วิวัฒนาการที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของสิ่งต่างๆที่เราสร้าง
ขึ้น วิวัฒนาการคือการพัฒนาจิตใต้สำนึกของตนเองเพื่อลดอัตตาให้น้อยลงต่างหาก 
โลกนี้จะอยู่ไม่ได้หากเรายังคงพึ่งพาบางสิ่งที่ไม่ใช่มุมมองที่แท้จริงของตนเอง บางครั้ง
อาจจะไม่ต้องมีเหตุผลมากก็ได้แต่ขอให้เรามี "ศรัทธา" ในทุกสิ่งรอบๆตัวเรา เชื่อว่า
ทุกสิ่งมีค่า ทุกอย่างมีชีวิต และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา 
คนทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เมื่อเราคิดได้แบบนี้วิวัฒนาการทางความเป็นมนุษย์
ของเราก็จะเกิดขึ้น เข้าใจสิ่งต่างๆได้มากขึ้น คำถามจะน้อยลง เพราะมันจะกลายเป็น
ความเข้าใจจนไม่ต้องเกิดคำถามกับสิ่งต่างๆ เราสามารถพบพระเจ้าได้โดยไม่ต้องมอง
เห็นตัวตน เพราะทุกคนมีพระเจ้าของตนเอง เพียงแค่เรารู้สึกมัน ทุกอย่างจะอยู่ตรงนั้น
และเป็นเช่นนั้นเอง ..



ปล. ผมไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นศาสนาใดใดการเขียนดังกล่าวเป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นในเรื่องของอัตตาในตัวของมนุษย์ทุกคน เพราะพระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีคำจำกัด ความหรือเรื่องราวเมื่อท่านเชื่อว่ามีท่านก็จะอยู่กับทุกท่านอยู่แล้วโดยที่เราไม่ต้องพูดถึงท่านครับ 





อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
  

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การควบคุม (Control)

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องของการ Control (การควบคุม) 
จริงๆเรื่องการควบคุมเรียกได้ว่าเป็นหัวใจ ของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องของสติ เป็น
เรื่องของจิตใจ และความสามารถในการควบคุม ความสามารถในด้านต่างๆของเรา


ผมจะพูดถึงเรื่องของการเต้นเป็นหลักแล้วกันครับ เพราะเป็นเรื่องที่ผมถนัดและใช้อยู่
เป็นประจำ การควบคุมในที่นี้ึคือการวางขอบเขตของสิ่งที่เราจะทำ อย่างเช่นว่า เราต้อง
การให้มันเคลื่อนที่ ไปช้า ไปเร็ว หรือ ต้องการหยุดได้ตามต้องการ หยุดจังหวะให้มีความ
ถี่ที่แตกต่างออกไป หยุดแบบถี่มาก หรือ ถี่น้อยๆ (การซอยจังหวะให้ถี่ หรือ ค้างจังหวะไว้)
การควบคุมเป็นทักษะที่ผู้เต้นจะต้องฝึกฝนเป็นประจำตั้งแต่เริ่มเต้นอยู่แล้ว คนที่ไม่สามารถ
ความคุมจังหวะของตนเอง ไม่สามารถควบคุมน้ำหนักในการวางเท้า หรือส่วนต่างๆของ
ร่างกายได้ เขาจะไม่สามารถหยุดตัวเองได้ และจะขาดความ "Flow" (ความต่อเนื่องลื่นไหล)
ไปโดยปริยาย


การ Control ที่ดีมีหลักการที่ดูแสนง่าย คือ แค่เรากำหนดความคิดเพื่อควบคุมส่วนต่างๆ
ของร่างกาย แต่สิ่งที่จะต้องมีนอกเหนือจากความคิดก็คือ การฝึกฝนส่วนต่างๆของร่างกาย
ให้ดำเนินไปตามที่เราคิด เพราะร่างกายและความคิดเป็นคนละส่วนกัน ดังนั้นเราจึงต้องฝึก
ทั้งสองอย่างให้ควบคู่กันไป บางครั้งมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้ร่างกายไม่เป็นไปตามที่เรา
สั่งการเวลาที่ใช้งานจริง ได้แก่


- ฝึกฝนการควบคุมส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายน้อยเกินไป ไม่สามารถเคลื่อนที่ 
  หรือหยุดได้ตามต้องการ 

- มีความกดดันในเรื่องของจิตใจที่ส่งผลถึงร่างกายโดยตรง ในขณะที่อยู่สภาวะ

  ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อยู่ท่ามกลางการแข่งขัน จิตใจเกิดอาการเครียด ท้อแท้ 
  ทำให้เคลื่อนไปอย่างไม่สบาย เป็นต้น

- สภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า บาดเจ็บ ไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องการจะทำได้อย่างเต็มที่ 



ด้วยสาเหตุต่างๆไปทำให้เราไม่สามารถทำการควบคุมได้อย่างเต็มที่ บางครั้งจะทำให้เรา
เกิดอาการสะเปะสะปะ ในการเคลื่อนไหว หลุดไปจากที่เีราคิด เรื่องของเรื่องก็คือคนเราชอบ
กำหนดขอบเขต อย่างตั้งใจ และ คาดหวังกับสิ่งที่ตนเองกำหนดขอบเขตเอาไว้ แต่เมื่อเรา
ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานะการได้เราก็จะเกิดอาการ "ช๊อค" (ชะงักงันทางความคิด) ทำให้
สิ่งที่เรารู้สึกไปรบกวนการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ ทำให้การเคลื่อนไหวมีการกระตุก ไม่เป็น
ธรรมชาติ เสียสมดุล วางน้ำหนักผิดพลาด แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น



การควบคุม ไม่ใช่ การบังคับ การควบคุมเป็นเรื่องของคนที่กำลังเลี้ยงวัวในคอก ไม่ใช่
การตีวัวเข้าคอก เราได้แค่เฝ้าดู และ ล้อมคอกเพียงเท่านั้น ไม่ได้เอาไม้ไปตีวัวให้วัว
เกิดความเครียด เพราะเมื่อวัวเกิดความเครียด วัวก็จะไม่อยากให้นม เพราะเราไม่เคย
ให้มันสบายอารมณ์บ้างเลย ในขณะเดียวกันนั้นคุณก็ต้องทำงานมากขึ้นด้วย เนื่องจาก
คุณต้องมานั่งจ้องวัวของคุณไม่ให้เดินไปไหนมัวแต่ระแวงว่าวัวจะหนี ซึ่งอันที่จริงวัวมัน
ก็แค่เดินไปรอบๆคอกของคุณแท้ๆ คุณต่างหากที่เป็นห่วงมากเกินความจำเป็น 





หากร่างกายของเราเปรียบเสมือน วัว และ สมองของคุณคือ เด็กเลี้ยงวัว สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่ 
ปล่อยให้วัวเดินออกกำลังกายบ้าง ล้มบ้าง นอนบ้าง พักกินหญ้าบ้าง วัวของคุณยังไงมันก็ไม่มี
ทางที่จะนอนทั้งวัน หรือ กินหญ้าทั้งวันอยู่แล้ว เพราะวัวมันต้อง " ขยับ " มันเป็นธรรมชาติของ
มันแบบนั้น ตราบใดที่มันยังมีเสียงดนตรีวัวของคุณก็จะไม่ยอมนอนพักง่ายๆ ดังนั้นอย่ากลัวถ้า
มันอยากจะทำอะไรที่มันอยากทำบ้าง แค่นี้คุณก็เป็นคนที่ฉลาดในการควบคุมวัวได้แล้ว 



เราต้องฝึกการควบคุมความคิดของเราด้วย ไม่่ใช่แค่เรื่องของร่างกายเพียงอย่างเดียวถ้า จิตใจ
เราไม่พร้อมจะไปที่ไหน จะทำอะไร จะแข่งกับใคมันก็ไม่เคยพร้อมทั้งนั้น การวางขอบเขตในการ
ควบคุมร่างกายต้องเป็นไปอย่างหลวมๆ มีการยืดหยุ่น รู้ว่าตอนไหน สามารถวางขอบเขตได้มาก
แค่ไหน เมื่อมันออกนอกขอบเขตที่เราวางไว้ จะต้องแก้ปัญหาอย่างไร จัดการกับมันอย่างไร
การที่เราจะควบคุมร่างกายของเราได้อย่างอิสระนั้น เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักการเคลื่อนไหวของเรา
ให้หมดเสียก่อน หรืออย่างน้อยพื้นฐานของการเคลื่อนไหวในทุกๆส่วนที่เราต้องใช้ จากนั้นเราจึง
ใช้การวางขอบเขตเพื่อกำหนดจุด ต่างๆให้ร่างกายเราเคลื่อนที่ไปตามต้องการ



นอกเหนือจากนั้นการควบคุมจิตใจจากสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันมีอิทธิพล
กับเราด้วยในทุกที่ๆเราไป จะมากหรือน้อยอยู่ที่สถานะการณ์ อยู่ที่ความแข็งแรงของจิตใจ เพราะจิตใจ
ของเรานอกจากจะวางขอบเขตให้ร่างกายของเราแล้ว เรายังไปวางขอบเขตให้กับคนอื่นๆด้วย มันเป็น
ขอบเขตที่ำำไม่มีที่สิ้นสุด เราพยายามควบคุมความคิดของกรรมการโดยบรรทัดฐานทางความคิดของเรา
คาดหวังว่าคนนั้นจะคิดแบบนั้น คิดแบบนี้ ฝั่งตรงข้ามจะทำอะไรต่อ เขาจะไม่ทำอะไรต่อ ใครจะออก
ต่อไป ใครจะแข่งก่อนแข่งหลัง ใครที่เราจะแข่งกับเขาในรอบต่อไป ในหัวเราเต็มไปด้วยรั้วที่จะไปล้อม
วัวตัวอื่นๆ รวมถึงคนเลี้ยงวัวคนอื่นด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ัวัวของคุณ และคนเลี้ยงวัวเขาก็มีรั้วของเขาที่คุณ
เข้าไปไม่ได้เช่นกัน  เพราะสุดท้ายแล้วเด็กเลี้ยงวัวของอีกคอกหนึ่งจะวิ่งออกมาพร้อมปืนลูกซองไล่ยิง
คุณอย่างไม่ปราณีในฐานะที่คุณพยายามจะเป็นหัวขโมย โดยไม่เจตนา !





ฉนั้นคนอื่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเต้นของคุณ ผลการตัดสินไม่ได้ทำให้คุณเปลี่ยน
ไปจากความที่คุณเป็นคุณ (ไม่ใช่เรื่องของความสามารถ) อย่าเข้าไปในคอกวัวของคนอื่น แล้วคุณจะ
เลี้ยงวัวของคุณได้อย่างมีความสุข คุณจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดทุกๆครั้งที่คุณเคลื่อนไหว ส่วนเรื่อง
การขยายคอกวัวก็จะกลายเป็นเรื่องของเวลา และอนาคต ยังไงๆเราก็ต้องขยายคอกวัวอยู่แล้ว เพราะ
วัวของคุณจะแข็งแรงและมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉนั้นอย่าได้ใส่ใจเรื่องวัวๆแบบนั้นไม่งั้นคุณจะ
กลายเป็นวัวเสียเอง .. 



ในบางครั้งอารมณ์ของคุณอาจจะไม่เอื้ิออำนวยให้คุณได้เต้น การควบคุมร่างกายก็จะเป็นไปใน
รูปแบบที่จำทน แต่คุณก็สามารถวางเส้นทางให้มันเดินได้เหมือนกัน ไม่ใช่ต้องพึ่งอารมณ์ของคุณ
เพื่อที่จะเต้นเพียงอย่างเดียว เพราะคุณสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญ คุณจะเข้าใจ
ใน ท่าเต้น(move) ,รูปแบบของท่า (form), การต่อท่า (transition)  ของคุณเองปัญหาก็คือ
การวางเส้นทางให้มันเดิน บางครั้งอาจใช้ภาพเก่าๆมาเป็นตัวนำทางให้มันเดินทางก็ได้ หรือ
ถ้าคุณต้องการที่จะลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อตัวคุณเอง ก็ลองใช้สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
เหล่านั้นมาเป็นโจทย์ แล้วก็แก้มันไปเรื่อยๆ อารมณ์ในการเต้นของคุณจะกลับมา แต่มันจะเดิน
ทางไปบนเส้นทางใหม่ที่คุณไม่เคยวางให้มันเดินมาก่อน เช่นว่า เจอเพลงจังหวะที่เราไม่ถนัด
เราก็เลยหาวิธีขยับที่แตกต่างแต่ใช้ความรู้ที่เรามีมาเดินทางก็ทำได้ บางครั้งกลับกลายเป็นว่าเป็น
คุณได้ทำอะไรในสิ่งที่คุณไม่เคยทำ ทำให้สไตล์การเต้นของคุณมีสีสันมากขึ้น เป็นการพาวัว
ออกมาเดินเล่นนอกรั้วสูดอากาศซะบ้างจะเป็นไรไป




ปัญหาหลักของการควบคุมร่างกายในการเต้นจริงๆแล้วก็คือ การยึดติด ในความทรง
จำแบบเดิมๆ ความคุ้นชินกับดนตรีจังหวะเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ท่าเต้นเดิมๆ คนเรา
มักจะยึดติดอยู่กับสภาพที่ตนเองคุ้นเคยเพราะคิดว่ามันปลอดภัยกว่า ไม่กล้าที่จะออก
มาจากคอกวัว ไม่ยอมให้วัวเป็นอิสระ ไม่ยอมให้มันมีชีวิต เมื่อไหร่ที่เรารักษาสมดุลทาง
ความคิดและร่างกายได้เมื่อไหร่ เราจะเป็นอิสระได้จริงๆ โลกของเราจะไม่เป็นเหมือนเดิม
 โลกทั้งใบจะกลายเป็นคอกวัวของคุณไปโดยปริยาย วัวจะไม่ได้เป็นของคุณ และ 
คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของวัว เพราะต่างคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน





อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/


หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5