สวัสดีครับทุกท่านที่เคารพรัก ผมไม่ได้เข้ามาเขียนได้ซักพักนึงจริงๆมีหลายเรื่อง
ที่อยากจะเขียนแต่ก็ไม่มีเวลาได้มาเขียนซักที วันนี้ผมอยากจะคุยในประเด็นที่เป็น
ดราม่าอยู่เมื่อไม่นานมานี้ซึ่งทำให้เกิดกระแสการตื่นตัวทางวัฒนธรรมไทยอย่าง
เห็นได้ชัด คือ เรื่องที่ว่า ร่างของแผนการเรียนการสอนของการศึกษาชั้นต้นไม่มี
วิชานาฏศิลป์ไทยอยู่ในวิชาเรียน
จะว่าไปแล้ววิชานาฏศิลป์ไทยเป็นวิชาหนึ่งที่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับผมตอนเรียน
สมัยประถม เป็นวิชาที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร รู้แค่ว่าได้เข้าไปในห้องแอร์
เย็นๆ มีพรมนิ่มๆให้นั่งแล้วคุณครูก็น่ารักๆ ผมยังจำได้ ตอนนั้นไม่ได้สนใจว่ากำลัง
เรียนอะไร แต่สนใจแค่ว่าคุณครูน่ารักมากผมเลยตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ฮ่าฮ่า
จริงๆวิชานี้พอผมเริ่มโตขึ้นมาเข้ามัธยมต้นก็ได้เรียนน้อยลง แต่ก็ยังได้เรียนอยู่บ้าน
เป็นวิชาที่ผ่อนคลายดี เพราะมันไม่ต้องอ่านไม่ต้องจดหรือเขียนอะไร นั่งสบายๆ
แล้วทำท่าต่างๆตามไป เรียนรู้ประวิติศาสตร์ของมัน แม้จะจำไ้ด้บ้างไม่ได้บ้างผมก็
ยังเรียนไป เพราะมันก็ยังดีกว่าให้ผมไปนั่งเรียนคณิตศาสตร์เครียดๆ (สำหรับผมนะ)
พอจบมัธยมต้นวิชานี้ก็ได้หายไปจากการเรียนของผม แต่ผมก็ยังได้ไปช่วยเขาบ้าง
ในบ้างโอกาศเพราะผมเต้น B-boy เลยต้องไปช่วยงานของโรงเรียนบ้าง ไปประกอบ
โชว์ช่วยอาจารย์นาฏศิลป์ และ อาจารย์ด้านดนตรีอยู่บ่ายครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้มาสอบตรงเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานาฏศิลป์สากล
ตอนแรกๆผมก็ไม่ทราบว่าเข้าไปแล้วจะต้องเรียนอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเข้าไปจะได้เรียนเต้น
และก็จบปริญญาตรีได้เหมือนกัน ผมเลยสอบเข้าไปเลย ที่มหาลัยผมด้านนาฏศิลป์
มีอยู่ 2 สาขาคือ นาฏศิลป์สากล และ นาฏศิลป์ไทย สอบจากนักเรียน 200-300 คน
(ปัจจุบันอาจจะมีมากกว่านั้นแล้ว)คัดเหลือ 15-17 คน ต่อ 1 สาขาดังนั้นคนที่ติด
ก็ต้องพอไปวัดไปวาด้านเต้นหรือรำได้พอสมควร การสอบดูเหมือนจะง่ายแต่มันก็
ไม่ง่ายเลยถ้าคุณอยู่ดีๆไม่เคยเต้นหรือรำเลยแล้วลองเข้ามาสอบ
ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของนาฏศิลป์ จนกระทั่งสอบติดและได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย
ความเข้าใจของผมเปลี่ยนไปจากเดิมมากเมื่อเข้าไปในสังคมนั้นจริงๆ การเีรียนนาฏศิลป์
ไทยหรือสากล หลายคนอาจจะถามว่าจบมาไปทำอะไรกิน เป็น Dancer ? รับงานจ้างรำ ?
เป็นครูสอนเต้น ? เป็นนักออกแบบท่าเต้น ? หรือเปิดโรงเรียนสอนเต้น ? อาชีพที่ผมกล่าวมา
ไม่ได้จำกัดไว้สำหรับคนที่เรียนมหาลัยจบไปแล้วเพียงเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ใครๆก็ทำได้
เด็กประถมก็เต้น เด็กมัธยมก็เต้น แล้วเด็กพึ่งจบมหาลัยล่ะ จบเต้นมาแล้วไม่แก่เกินไปหรือ
สำหรับการเต้น ? นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกว่าเราเรียนสาขานาฏศิลป์ไปเ้พื่ออะไร ?
ผมว่ามันคือการพัฒนาวิธีคิด การเปิดมุมมองใหม่ๆกับสิ่งรอบๆต้ว การสร้างจุดยืนที่บาง
วิชาไม่เคยบอกคุณว่าต้องมี แต่ในการทำงานหลายๆอาชีพบอกคุณว่ามันต้องมี ไม่งั้น
คุณจะกลายเป็นพวกคนทั่วๆไปที่ทำงานแบบใครๆก็ทำได้ วิชานี้ให้สังคมที่กว้างขึ้นเพราะ
คุณจะไม่สามารถเป็นแดนเซอร์ไปตลอดชีวิตแน่ๆ คุณจะพบเจอคนใหม่ๆ อาจจะได้ไปทำงานที่
ไม่เคยทำงานแปลกๆนอกสาขา ซึ่งอาจจะทำให้ทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปในอนาคต
และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ คนที่เรียนสาขานี้ได้ตอบสนองความสุขของตนเอง มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณ
จะเรียนสาขานี้มาหรือไม่แต่คนที่เรียนจะมีมุมมองที่แตกต่างจากคนที่ไม่ได้เรียน มันได้วิธีคิด
ที่แตกต่าง จากคำว่า " ใครๆก็เป็นได้ " คุณจะรู้วิธีเอาตัวรอดและปรับตัวได้จากสิ่งที่คุณ
เป็นและสามารถหาเลี้ยงชีพได้จากสิ่งที่คุณรัก นั่นคือข้อดีจากการเรียนสาขานี้
ร่างหลักสูตรใหม่ ที่เพิ่งจะมีปัญหาไปเมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์นาฏศิลป์หลายท่านรวมถึงนิสิต
นักศึกษาต่างพากันรวมตัวเพื่อขอความชัดเจน ว่าต้องมีวิชานาฏศิลป์บรรจุลงไปในการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน โดยให้เหตุผลว่า หน่วยกิจของหมวกวิชาศิลปะมีเพียง 0.5 แล้วนำมาหาร 3 กับ
อีก 2 วิชาศิลปะ ว่าง่ายๆคือเรียนเพียง 1 คาบ ต่อ 1 อาทิตย์ และคะแนนของวิชานี้มีผลน้อยมาก
ต่อผลการเรียนทั้งหมด แต่ในร่างหลักสูตรกลับไม่มีวิชานี้เขียนลงไป โดยให้เหตุผลว่าเด็กไทย
เรียนวิชาวิทยาศาตร์อ่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เป็นการแกปัญหาแบบค่ำๆคูๆ
ในกรณีที่ถ้าการตัดวิชานาฏศิลป์ออกจากการศึกษาขั้นพื้นฐานเกิดขึ้นจริงจะมีกระทบทันทีกับ
1) ครูที่สอนนาฏศิลป์ท่านจะตกงาน
2) เด็กไทยจะรู้จักนาฏศิลป์ไทยแค่จากในทีวี ,หนังสือ ,อินเทอร์เน็ท หรือไม่ก็จากที่รำแก้บน
3) เด็กที่มีพรสวรรค์หรือสนใจในสาขานี้จะไม่มีวันได้สัมผัสนาฏศิลป์เลย
4) โรงเรียนนาฏศิลป์มีหลายแห่งทั่วประเทศจะไม่สามารถหาเด็กที่
มีพื้นฐานมาต่อยอดโดยง่าย
5) เมื่อไม่มีพื้นฐานจากประถม มัธยม แล้วก็จะไม่มีพื้นฐานอะไรไปต่อในมหาวิทยาลัย
6) สมบัติของชาติจะค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของประชากรไทยยุคใหม่
7) นาฏศิลป์ไทยอาจจะไม่หายไปแต่จะำหาเรียนได้ยากขึ้นกว่าเดิม
8) ประชากรยุคใหม่จะรู้จักแต่วัฒนธรรมต่างชาติ ส่วนวัฒนธรรมตนเองก็ไม่รู้จักมันจริงๆ
9) ถูกกลืนวัฒนธรรมได้ง่าย ด้วยเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้อะไรเปลี่ยนไปรว่ดเร็วเช่นกัน
นั่นเป็นตัวอย่างคร่าวๆที่ผมยกขึ้นมาให้ดูถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ หลายๆคนจะลำบากคน
ที่ทำหน้าที่รักษาสมบัติวัฒนธรรมของชาติจะกลายเป็นคนที่ไร้ความหมาย และคนที่ไร้ความ
หมายตามมาอีกก็คือคนไทยทุกๆคน นาฏศิลป์ไม่ใช่การแสดงเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
แต่มันมีนัยยะซ่อนอยู่ในนั้นซึ่งหลายๆคนไม่เข้าใจ รูปแบบของท่ารำหรือจังหวะการขยับมัน
แสดงถึงความเป็นคนไทยที่มีนิสัยอ่อนน้อมถ่มตน มีน้ำใจ ขี้อาย และมีสัมมาคารวะ คนไทย
มีความเนิบช้า แต่ก็สบายๆไม่เร่งรีบซึ่งตรงกับลักษณะของนาฏศิลป์ไทยโดยตรง มันคือราก
เหง้าที่สื่อถึง "จริต" ของคนไทยแท้ๆได้อย่างลึกซึ่งโดยไม่ต้องอธิบายมาก
นาฏศิลป์ไทยมีการพัฒนาขึ้นมามากมายหลากหลายรูปแบบ หลากหลายภูมิภาค มีนาฏศิลป์ไทย
ในรูปแบบที่ต่างกันไปตาม "จริต" ของคนในภาคนั้นๆแต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของคนไทยซึ่งเป็น
จริตหลักๆอยู่นั่นเอง นาฏศิลป์ไม่ได้สอนแต่การนับจังหวะฟังเพลง หรือ วิธีการขยับร่างกาย
เพียงเท่าั้นั้น แต่มันสอนรากเหง้าของจิตวิญญาณของบรรพบุรุษจากรุ่นหนึ่งสู้อีกรุ่นหนึ่ง
สอนวิธีคิดที่เป็นรากทางวัฒนธรรมของเราผ่านการขยับร่างกายตามจังหวะดนตรี
ในฝั่งจะวันตกนาฏศิลป์ในสมัยโบราณไม่ได้มีมากมายหลากหลายมากเท่าฝั่งเอเชีย หรือแม้แต่
บ้านเรา นั่นแสดงถึงว่า ด้านจิตใจและวัฒนธรรมของเราได้ก้าวล้ำนำสมัยไปมากกว่าฝั่งตะวันตก
มาก คนมีสุนทรียที่แตกต่าง มีความลึกซึ้งด้านการคิดการสร้างสรรค์มากกว่า ไม่ใช่การเต้นเพื่อ
เป็นโชว์ปาหี่หรือสนุกสนานไปวันๆเพียงอย่างเดียว หลายๆคนพยายามจะบอกว่านาฏศิลป์
ไทยนั้นล้าหลังไม่มีการพัฒนาเหมือนกับนาฏศิลป์ตะวันตก อันที่จริงแล้วเรามีการพัฒนา
มาหลายร้อยปีแล้วก่อนหน้าที่นาฏศิลป์จะวันตกจะคิดค้นนาฏศิลป์ร่วมสมัยขึ้นมาเสียอีก
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเอานาฏศิลป์ตะวันตกซึ่งเป็นงานร่วมสมัย มาเทียบกับนาฏศิลป์ไทย
ซึ่งเป็นงานต้นตำหรับได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาของ
คนไทยอย่างแท้จริง
คนที่คิดว่านาฏศิลป์เป็นเพียงอาชีพเต้นกินรำกิน ผมว่าเขาก็คิดไม่ผิดหรอกครับ แต่ทว่าอาชีพ
นี้มันได้พยุงอุ้มชูความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยไม่ให้หายไปอีกด้วย คนที่รำไทยเปรียบ
เสมือนฑูตวัฒนธรรมโดยตรงแบบไม่ต้องใช่ภาษาพูดกับต่างชาติ แต่เขาสามารถเรียนรู้คนไทย
ได้จากสิ่งที่เขาเห็นสิ่งที่เขาได้ยิน และเขาก็จะกลับมาบ้านเราครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเสพสิ่งเหล่านี้
นอกเหนือจากนี้ในบางประเทศยังมีสาขานาฏศิลป์ไทยให้เรียนในมหาวิทยาลัยอีกด้วย
วันนี้ขอบ่นแค่นี้ล่ะครับ ผมคงไม่พูดอะไรถึงคนร่างหลักสูตรหรือดราม่าที่เกิดขึ้นจากการเมือง
หรืออะไรก็ตาม แต่ผมจะบอกว่าวัฒนธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำให้เราเรียกตัวเองได้เต็มปากว่าเรา
เป็นคนไทย เรามาจากเมืองไทย เราพูดภาษาไทย เรามีจริตแบบไทยๆ เรามีความคิดแบบ
ไทยๆเราใช้ชีวิตแบบไทยๆ เรามีรอยยิ้มแบบไทยๆ ซึ่งถ้าใครที่ไม่ใช่คนไทยก็ยากที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้วิชานาฏศิลป์ช่วยให้คนอย่างผมจบออกมามีความคิดดีๆ มีชีวิตดีๆ ภูมิใจและรัก
ในความเป็นไทยที่ใครๆถามผมก็ภูมิใจที่จะนำเสนอเรื่องราวของคนไทยให้กับเพื่อนๆต่าง
ประเทศฟังเสมอ สุดท้ายนี้นาฏศิลป์ไทยสำหรับคุณนั้นคืืออะไร ก็มีเพียงแต่ตัวคุณเองเท่า
นั้นแหละครับที่ตอบได้
สวัสดีครับ :)
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
บทความนี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้จัก คำว่า นาฏศิลป์
ตอบลบแต่ทำให้ผมเข้าใจถึงความเป็นเจ้าของ ประเทศที่ชื่อว่า ไทย
ไม่ว่าอะไรก็ตามแต่ที่เป็นไทย เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ทำมันนะ
แต่เราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำให้มันขาดอากาศหายใจ
พี่ชินเป็นคนละเอียดอ่อน
ใ่ส่ใจกับเรื่องเล็กของใครหลายคน แต่เป็นเรื่องใหญ่ของส่วนรวม
พี่ิชินเปิดมุมมองแนวคิดได้ดีมาก ๆ เยี่ยมไปเลยฮะ
ขอบคุณนะครับ
น้องณล
DETAHH SOULFRESH