มนุษย์สัตว์ชนิดเดียวที่มีวิวัฒนาการทางสติปัญญาที่สูงส่งกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ
มนุษย์ค้นพบความหมายของตัวตน ตั้งแต่เริ่มสร้างอาณาจักรของตนเอง
วิวัฒนาการต่างๆของมนุษย์สร้างความสะดวกสบายให้กับพวกของตนเอง
มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ แต่กลับมีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
มากที่สุดทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว บางครั้งการสนองความต้องการต่างๆของตนเอง
ก็มากจนเกินไปเนื่องด้วยความคิดที่ว่าเราเป็นสัตว์ที่ทรงปัญญาที่สุดเท่าที่เคยมีมา
(เฉพาะในโลกใบนี้) ด้วยเหตุนี้ทำให้มนุษย์รู้สึกว่าตนเองได้ครอบครองโลกใบนี้
อย่างสมบูรณ์มาช้านาน หากแต่พวกเขาลืมไปว่า พวกเขาเป็นเพียงส่วนประกอบ
เล็กๆของโลกใบนี้เพียงเท่านั้นเอง
สึนามิที่ญี่ปุ่น คือการเตือนเล็กๆของโลกใบนี้เท่านั้นเอง โลกใบนี้ไม้ได้ต้องการ
อะไรจากเราแต่ธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างต้องการเพียงแค่การปรับสมดุลย์
ตามเหตุและปัจจัยต่างๆที่มากระทบ มนุษย์ใช้ทรัพยากรจากพื้นดิน อากาศ น้ำ
ต้นไม้ สัตว์อื่นๆมากมาย บางครั้งมันมากจนเกินความจำเป็นของสัตว์ธรรมดาๆ
อย่างเราๆ เราเบียดเบียนธรรมชาติมากเกินไปรึป่าว ?
สิ่งที่เราสามารถทำได้ในวันนี้คือชะลอการเกิดเหตุต่างๆ ของโลกที่กำลังปรับสมดุล
เพียงเท่านั้น มนุษย์ในวันนี้เริ่มคิดกันแล้วหรือยังว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดนอกจากเงินทอง
ทรัพยากร ความสุขสบาย ...
มุนุษย์คิดว่าตนเองนั้นมีค่า แต่กลับมองว่าหลายๆอย่างมีค่าน้อยกว่าตน (ด้วยการกระทำ)
ซึ่งสังคมของเราส่วนใหญ่มิได้ทำเพื่อการอยู่รอดอย่างแท้จริงหากเพียงแต่ทำเพื่ออำนาจ
เงินทอง ซึ่งโดยรูปธรรมแล้วมันไม่มีค่าเท่ากับชีวิตของตนเลย เพียงแค่เราหันมาสนใจ
สิ่งรอบข้างสักนิด สนใจคนรอบข้างซักหน่อย มีสติ ในการใช้ชีวิตไม่หลงทางไปกับโลก
สร้างสำนึกจากตนเองก่อน และ การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ก็จะค่อยๆเกิดขึ้น
วันนี้คุณใส่ใจคนรอบข้างและโลกใบนี้แล้วหรือยัง ?
PEACE TO JAPAN
Cheno,99Flava
วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554
It's just begun !
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีกระแสเกี่ยวกับเรื่องของ Streetdance ขึ้นมาอย่างมากมาย เนื่องด้วยภาพยนตร์ต่าง
ประเทศหลายเรื่องที่ทำเกี่ยวกับการเต้นในสไตล์นี้โดยตรง หลายๆคนอาจจะยังคงสับสนและไม่เข้าใจ
กับคำว่าเต้น Hip-Hop ,B-boy และ Streetdance มันแตกต่างกันยังไงผมจะอธิบายให้เข้าใจคร่าวๆครับ !
Hip-Hop - คือวัฒนธรรมที่มาจากประเทศอเมริกไม่ใช่แนวการเต้น มีองประกอบ 4 อย่างคือ
ต่อมาวัฒนธรรม Hip-Hop ได้พัฒนาแนวดนตรี Funk ,Soul ,Jazz มาประยุกต์ให้เกิด
จังหวะกลองที่ช้าลงและสามารถ ร้อง Rap ใส่เข้าไปได้ จนเป็นเอกลักษณ์ ของ
ดนตรี Hip-Hop ในปัจจุบันและต่อมาได้มีการพัฒนารูปแบบการเต้นให้เข้ากับ
จังหวะดังกล่าวจึงเรียกกันว่าการเต้น "Hip-Hop"
Streetdance - เป็นคำที่คนไทยเราคุ้นหูกันมาไม่นานการเต้น Streetdance คือชื่อเรียกรวมๆของ
แนวการเต้นหลากหลายแนวซึ่งมีอิทธิพลมาจากการเต้น B-boy ,Popping และ
Locking ซึ่งสมัยก่อน ถูกเรียกว่า "Breakdance" เป็นชื่อที่สื่อในอเมริกาตั้งให้
กับการเต้นชนิดนี้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันเป็นการเต้นคนละรูปแบบและมีเอกลักษณ์
เฉพาะตัว ในที่นี้การเต้น Streetdance ไม่ได้จำกัดความเฉพาะการเต้น 3 ชนิด
เพียงเท่านั้น อาจหมายถึงการเต้นใดใดที่มาจาก ข้างถนน เนื่องจากคำนี้ใช้
เรียกการเต้นข้างถนน นั่นหมายถึงสไตล์การเต้นดังกล่าวเป็นส่วนมาก อาจ
หมายถึงการเต้น House ,Rocking ,Wacking ฯลฯ ที่ได้รับวัฒนธรรมมาจาก
คนผิวดำในอเมริกา
B-boy - การเต้นที่ผาดโผนใช้ทุกส่วนของร่างกายในการเต้นบนพื้น มีองประกอบหลักของการเต้น
4 อย่าง คือ Toprock (การเต้นแบบยืนเต้น) Footwork (การเต้นแบบนั่งยองๆแล้วใช้แขนค้ำ
ยันตัวไปรอบๆ) Freeze (การโพสท่าจบในรูปแบบต่างๆ) Powermove (ท่าหมุนตัวที่ใช้พลัง
ของร่างกายสูง) เป็นองประกอบหนึ่งของ 4 Elements ในวัฒนธรรม Hip-Hop ส่วนคำว่า
"B-girl" คือคำที่ใช้เรียกคนเต้นในสไตล์นี้ที่เป็นผู้หญิง
เพื่อความไม่สับสนของหลายๆคนเพราะปัจจุบันมีหลายคนมากมายเข้าใจแบบผิดๆแล้วนำไปเรียก
ในแบบที่ไม่รู้และมักจะเข้าใจปะปนกันอยู่เสมอ แม้แต่ในบางโรงเรียนสอนเต้นก็มักจะใช้คำว่า
Streetdanceในการเปิดคลาสสอนซึ่งในบางครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะสอนอะไรเราบ้าง เพราะมันมี
เยอะไปหมด ความแตกต่างของการเต้น Hip-Hop และ Streetdance นั้นอาจจะไม่มีความแตกต่างกัน
มากเนื่องจากการเต้น Hip-Hop เป็นการเต้นแบบผสมผสานซึ่งนำเอาสไตล์การเต้นรูปแบบต่างๆ
ของ Streetdance มาใช้ เช่น Popping, Locking,Wacking ,B-boy,House ,Krumping ฯลฯ ดังนั้น
ในบางครั้งเราแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าความแตกต่างของมันคืออะไรหรืออาจจะแค่จังหวะเพลง
ที่ใช้เพียงเท่านั้น ?
ฝากเพื่อนๆพี่ๆน้องลองไปคิดไปสำรวจดูว่าสิ่งที่ผมพูดมันจริงรึปล่าวถ้าใครคิดแบบไหนลอง
Comment ไว้ด้านล่างนี่ได้เลยครับ ในฐานะที่ผมเป็น B-boy คนหนึ่งที่มองการเต้น Streetdance มานาน
^____^
ประเทศหลายเรื่องที่ทำเกี่ยวกับการเต้นในสไตล์นี้โดยตรง หลายๆคนอาจจะยังคงสับสนและไม่เข้าใจ
กับคำว่าเต้น Hip-Hop ,B-boy และ Streetdance มันแตกต่างกันยังไงผมจะอธิบายให้เข้าใจคร่าวๆครับ !
Hip-Hop - คือวัฒนธรรมที่มาจากประเทศอเมริกไม่ใช่แนวการเต้น มีองประกอบ 4 อย่างคือ
B-boy = การเต้น Breakdance ใช้ท่ากลับหัวตีลังกาและท่าที่ลื่นไหล
MC = ผู้ที่เป็นเสมือนโฆษกในการจัด Party ต่างขณะเดียวกันสามารถ
ใช้เรียกนักร้อง Rapได้ด้วย
DJ = คนที่ทำหที่เปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงสองเครื่องและนำเพลงมาผสมเข้าด้วยกัน
Graffiti = คือการพ่นสีบนกำแพงได้รับอิทธิพลมาจากอันธพาลกวนเมืองที่เขียนชื่อ
ของตนไว้บนกำแพงจมที่ต่างๆของเมือง แต่มีอีกพวกหนึ่งที่สร้างสรรค์เป็น
ผลงานที่สวยงามเป็นตัวอักษรหรือภาพวาดที่ดูมีเอกลักษณ์
ต่อมาวัฒนธรรม Hip-Hop ได้พัฒนาแนวดนตรี Funk ,Soul ,Jazz มาประยุกต์ให้เกิด
จังหวะกลองที่ช้าลงและสามารถ ร้อง Rap ใส่เข้าไปได้ จนเป็นเอกลักษณ์ ของ
ดนตรี Hip-Hop ในปัจจุบันและต่อมาได้มีการพัฒนารูปแบบการเต้นให้เข้ากับ
จังหวะดังกล่าวจึงเรียกกันว่าการเต้น "Hip-Hop"
Streetdance - เป็นคำที่คนไทยเราคุ้นหูกันมาไม่นานการเต้น Streetdance คือชื่อเรียกรวมๆของ
แนวการเต้นหลากหลายแนวซึ่งมีอิทธิพลมาจากการเต้น B-boy ,Popping และ
Locking ซึ่งสมัยก่อน ถูกเรียกว่า "Breakdance" เป็นชื่อที่สื่อในอเมริกาตั้งให้
กับการเต้นชนิดนี้ ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันเป็นการเต้นคนละรูปแบบและมีเอกลักษณ์
เฉพาะตัว ในที่นี้การเต้น Streetdance ไม่ได้จำกัดความเฉพาะการเต้น 3 ชนิด
เพียงเท่านั้น อาจหมายถึงการเต้นใดใดที่มาจาก ข้างถนน เนื่องจากคำนี้ใช้
เรียกการเต้นข้างถนน นั่นหมายถึงสไตล์การเต้นดังกล่าวเป็นส่วนมาก อาจ
หมายถึงการเต้น House ,Rocking ,Wacking ฯลฯ ที่ได้รับวัฒนธรรมมาจาก
คนผิวดำในอเมริกา
B-boy - การเต้นที่ผาดโผนใช้ทุกส่วนของร่างกายในการเต้นบนพื้น มีองประกอบหลักของการเต้น
4 อย่าง คือ Toprock (การเต้นแบบยืนเต้น) Footwork (การเต้นแบบนั่งยองๆแล้วใช้แขนค้ำ
ยันตัวไปรอบๆ) Freeze (การโพสท่าจบในรูปแบบต่างๆ) Powermove (ท่าหมุนตัวที่ใช้พลัง
ของร่างกายสูง) เป็นองประกอบหนึ่งของ 4 Elements ในวัฒนธรรม Hip-Hop ส่วนคำว่า
"B-girl" คือคำที่ใช้เรียกคนเต้นในสไตล์นี้ที่เป็นผู้หญิง
เพื่อความไม่สับสนของหลายๆคนเพราะปัจจุบันมีหลายคนมากมายเข้าใจแบบผิดๆแล้วนำไปเรียก
ในแบบที่ไม่รู้และมักจะเข้าใจปะปนกันอยู่เสมอ แม้แต่ในบางโรงเรียนสอนเต้นก็มักจะใช้คำว่า
Streetdanceในการเปิดคลาสสอนซึ่งในบางครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะสอนอะไรเราบ้าง เพราะมันมี
เยอะไปหมด ความแตกต่างของการเต้น Hip-Hop และ Streetdance นั้นอาจจะไม่มีความแตกต่างกัน
มากเนื่องจากการเต้น Hip-Hop เป็นการเต้นแบบผสมผสานซึ่งนำเอาสไตล์การเต้นรูปแบบต่างๆ
ของ Streetdance มาใช้ เช่น Popping, Locking,Wacking ,B-boy,House ,Krumping ฯลฯ ดังนั้น
ในบางครั้งเราแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าความแตกต่างของมันคืออะไรหรืออาจจะแค่จังหวะเพลง
ที่ใช้เพียงเท่านั้น ?
ฝากเพื่อนๆพี่ๆน้องลองไปคิดไปสำรวจดูว่าสิ่งที่ผมพูดมันจริงรึปล่าวถ้าใครคิดแบบไหนลอง
Comment ไว้ด้านล่างนี่ได้เลยครับ ในฐานะที่ผมเป็น B-boy คนหนึ่งที่มองการเต้น Streetdance มานาน
^____^
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554
The Father of Hip-Hop
สวัสดีครับทุกท่าน นี่เป็นการเขียน Blog ครั้งแรกใน Blogger ของผมเองขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติ
เข้ามาอ่าน ทั้งคนที่รู้จักผมและไม่รู้จักผม ผมเชื่อว่าการเขียน Blog ในนี้น่าจะช่วยให้หลายๆคนเข้าใจ
วัฒนธรรม Hip-Hop และ B-boy,B-girl รวมไปถึงการใช้ชีวิตของมนุษย์หนึ่งคนอย่างที่ควรจะเป็น
ในแบบของคนๆนั้นได้มากขึ้น
จากโลกฝั่งตะวันตกที่ซึ่งหลากหลายอารยะธรรมจากหลายชนชาติมารวมกัน ประเทศที่เรียกได้ว่าเป็น
ผู้นำของโลก ผู้พลิกเศรษฐกิจได้เพียงพลิกฝ่ามือ ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงประเทศ "สหรัฐอเมริกา"
ในโลกฝั่งตะวันตกที่แต่เดิมรับเพียงวัฒนธรรมจากชนผิวขาว จนกระทั่งหลายสิ่งหลายอย่างได้
เปลี่ยนไป หลังยุคสงครามโลก อเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่มีทั้งผู้อภยพ และ ผู้แสวงโชคเข้ามาหากิน
กันอย่างมากมาย หรือแม้แต่ชนผิวดำจากแอฟริกาซึ่งเคยเป็นทาสจากยุคอาณานิคม ได้รับอิสรภาพ
ให้แสวงหาชีวิตใหม่ของตนเองได้เยี่ยงพลเมืองชั้นหนึ่ง (คนผิวขาว) ทั่วไปถึงแม้กระนั้นการเหยียดผิว
ในอเมริกาก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1969 ด้วยสภาพสังคมที่เสื่อมโทรมใน New York มีทั้งนักเลง, คนขายยา, โสเภณี
และปัญหาอาชญากรรมมากมาย ด้วยสภาพสังคมที่ยังครุกรุ่นในเรื่องการเหยียดผิวอยู่อย่างต่อเนื่อง
ทำให้พลเมืองชั้นสอง (คนผิวดำ) มีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ทั้งในเรื่องของสาธารณูปโภค
ที่เป็นเพียงตึกแถวหลายชั้นที่ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำ ไม่มีเครื่องทำความร้อน (สภาพอากาศของเมืองนี้หนาว
การที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนนั้นเป็นเรื่องที่แย่มากในฐานะพลเมือง) ทำให้เกิดการเดินขบวนและเรียก
ร้องสิทธิของคนผิวดำอยู่บ่อยๆ
ในย่าน Bronx ชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาเปิด Party ขึ้นในเขตตึกที่อยู่อาศัยของตนเอง เรียกว่า
"Block Party" ชายคนนี้มักจะขับรถเปิดประทุน และ นำลำโพงขนาดใหญ่สองตัวไว้ที่เบาะ
ด้านหลัง ขับไปทั่วเมืองพร้อมกับป่าวประกาศให้ผู้คนมาร่วม Block Party ที่ตนจัดอยู่เสมอๆ
ชายผู้นี้เรียกตัวเองว่า "Kool Herc"
ทุกๆครั้งที่มี Party ทุกคนจะสนุกสนานจนลืมสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของสังคมที่ตนอยู่อาศัย
Kool Herc ได้นำเครื่องเล่นแผ่นเสียงสองเครื่องมาเปิดถูกเรียกกันว่า "DJ" (Disc Jockey) และทำการ
เปิดพร้อมกันและทำการสร้างจังหวะด้วยเสียงกลอง และเสียงดนตรีต่างๆ จนเกินจังหวะที่เรียกว่า "Breakbeat" (ในสมัยนั้นเพลงที่นิยมเปิดกันใน Block Party ก็จะเป็นแนว Funk และ Soul เป็นส่วนมาก)
ซึ่งจะเอาเฉพาะช่วงที่เป็นจังหวะกลองเท่านั้น ด้วยจังหวะที่สนุกสนานทำให้เกิดการเต้นเป็นวงกลม
ตามแบบฉบับของคนแอฟริกันโดยการยืนล้อมเป็นวงกลม และ มีหนึ่งเต้นอยู่ตรงกลางโชว์ลีลาใน
แบบของตนเอง วงกลมเหล่านี้ถูกเรียกว่า "Circle" ในวงกลมนั้นการเต้นเริ่มมีการพัฒนาจากการ
ยืนเต้น "Toprock" จนกระทั่งลงไปเต้นหมุนตัวที่พื้น เป็นที่มาของ "Downrock" หรือ "Footwork"
และทุกครั้งที่มีการหยุดเต้นหรือโพสท่าจบก็จะเรียกกันว่า "Freeze"
การเต้นลักษณะนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่นย่าน Bronx ทุกๆคนต่างเรียกคนที่เต้นใน Circle
ถูกเรียกว่า "B-boy" หรือ "Break boy" ตามที่ Kool Herc เรียก ทุกๆครั้งที่มี Party ใครที่เข้ามา
ใน Party เป็นประจำจะมีชื่อพิเศษที่ Kool Herc ตั้งให้และเรียกกันติดปาก เป็นที่มาของคำว่า
A.K.A. (All Know As แปลว่าทุกคนรู้จักในชื่อว่า ... ) ตามด้วยชื่อที่ Kool Herc เรียกเป็น
ฉายาต่างๆ โดยจะประกาศผ่านไมโครโฟนเพื่อแสดงตัวของคนๆนั้น เป็นที่ว่าของคำว่า
"MC" (Master of Ceremonies)
เมื่อการเต้นพัฒนาไปเป็นความเจ๋ง กลุ่มวัยรุ่นที่เกเรทำที่เคยทำตัวเป็นนักเลงได้เปลี่ยนมาทำกิจกรรม
เพื่อแสดงตัวตนของกลุ่มตัวเอง ผ่านการเต้นในรูปแบบของกลุ่มและคนนั้นๆ เพื่อแสดงความเจ๋งออกมา
ให้กลุ่มอื่นๆได้เห็น กลุ่มอื่นๆก็ไม่ยอมทำให้เกิดการแข่งกันใน Circle ซึ่งเรียกวัฒนธรรมนี้ว่าการ
"Battle"โดยแต่ละฝ่ายก็จะทำท่าที่เจ๋งกว่าอีกฝ่ายหรือแสดงว่าตนทำท่าได้เช่นเดียวกันแต่ดีกว่า เป็นต้น
จาก Block Party มาสู่ข้างถนนวัฒนธรรมนี้กระจายไปอย่างรวดเร็วมีการจัด Party กันในสนามบาสข้างๆ
ตึกที่อยู่อาศัยของตนเอง ความรุนแรงและอาชญากรรมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดสังคมเริ่มดีขึ้นเพราะ
มีกิจกรรมที่รองรับการแสดงออกของวัยรุ่นที่ถูกวิธีทำให้เกิดสังคมเล็กๆที่เรียกว่า "Hip-Hop" ขึ้นมา
เข้ามาอ่าน ทั้งคนที่รู้จักผมและไม่รู้จักผม ผมเชื่อว่าการเขียน Blog ในนี้น่าจะช่วยให้หลายๆคนเข้าใจ
วัฒนธรรม Hip-Hop และ B-boy,B-girl รวมไปถึงการใช้ชีวิตของมนุษย์หนึ่งคนอย่างที่ควรจะเป็น
ในแบบของคนๆนั้นได้มากขึ้น
จากโลกฝั่งตะวันตกที่ซึ่งหลากหลายอารยะธรรมจากหลายชนชาติมารวมกัน ประเทศที่เรียกได้ว่าเป็น
ผู้นำของโลก ผู้พลิกเศรษฐกิจได้เพียงพลิกฝ่ามือ ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงประเทศ "สหรัฐอเมริกา"
ในโลกฝั่งตะวันตกที่แต่เดิมรับเพียงวัฒนธรรมจากชนผิวขาว จนกระทั่งหลายสิ่งหลายอย่างได้
เปลี่ยนไป หลังยุคสงครามโลก อเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่มีทั้งผู้อภยพ และ ผู้แสวงโชคเข้ามาหากิน
กันอย่างมากมาย หรือแม้แต่ชนผิวดำจากแอฟริกาซึ่งเคยเป็นทาสจากยุคอาณานิคม ได้รับอิสรภาพ
ให้แสวงหาชีวิตใหม่ของตนเองได้เยี่ยงพลเมืองชั้นหนึ่ง (คนผิวขาว) ทั่วไปถึงแม้กระนั้นการเหยียดผิว
ในอเมริกาก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1969 ด้วยสภาพสังคมที่เสื่อมโทรมใน New York มีทั้งนักเลง, คนขายยา, โสเภณี
และปัญหาอาชญากรรมมากมาย ด้วยสภาพสังคมที่ยังครุกรุ่นในเรื่องการเหยียดผิวอยู่อย่างต่อเนื่อง
ทำให้พลเมืองชั้นสอง (คนผิวดำ) มีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ทั้งในเรื่องของสาธารณูปโภค
ที่เป็นเพียงตึกแถวหลายชั้นที่ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำ ไม่มีเครื่องทำความร้อน (สภาพอากาศของเมืองนี้หนาว
การที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนนั้นเป็นเรื่องที่แย่มากในฐานะพลเมือง) ทำให้เกิดการเดินขบวนและเรียก
ร้องสิทธิของคนผิวดำอยู่บ่อยๆ
ในย่าน Bronx ชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาเปิด Party ขึ้นในเขตตึกที่อยู่อาศัยของตนเอง เรียกว่า
"Block Party" ชายคนนี้มักจะขับรถเปิดประทุน และ นำลำโพงขนาดใหญ่สองตัวไว้ที่เบาะ
ด้านหลัง ขับไปทั่วเมืองพร้อมกับป่าวประกาศให้ผู้คนมาร่วม Block Party ที่ตนจัดอยู่เสมอๆ
ชายผู้นี้เรียกตัวเองว่า "Kool Herc"
ทุกๆครั้งที่มี Party ทุกคนจะสนุกสนานจนลืมสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของสังคมที่ตนอยู่อาศัย
Kool Herc ได้นำเครื่องเล่นแผ่นเสียงสองเครื่องมาเปิดถูกเรียกกันว่า "DJ" (Disc Jockey) และทำการ
เปิดพร้อมกันและทำการสร้างจังหวะด้วยเสียงกลอง และเสียงดนตรีต่างๆ จนเกินจังหวะที่เรียกว่า "Breakbeat" (ในสมัยนั้นเพลงที่นิยมเปิดกันใน Block Party ก็จะเป็นแนว Funk และ Soul เป็นส่วนมาก)
ซึ่งจะเอาเฉพาะช่วงที่เป็นจังหวะกลองเท่านั้น ด้วยจังหวะที่สนุกสนานทำให้เกิดการเต้นเป็นวงกลม
ตามแบบฉบับของคนแอฟริกันโดยการยืนล้อมเป็นวงกลม และ มีหนึ่งเต้นอยู่ตรงกลางโชว์ลีลาใน
แบบของตนเอง วงกลมเหล่านี้ถูกเรียกว่า "Circle" ในวงกลมนั้นการเต้นเริ่มมีการพัฒนาจากการ
ยืนเต้น "Toprock" จนกระทั่งลงไปเต้นหมุนตัวที่พื้น เป็นที่มาของ "Downrock" หรือ "Footwork"
และทุกครั้งที่มีการหยุดเต้นหรือโพสท่าจบก็จะเรียกกันว่า "Freeze"
การเต้นลักษณะนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่นย่าน Bronx ทุกๆคนต่างเรียกคนที่เต้นใน Circle
ถูกเรียกว่า "B-boy" หรือ "Break boy" ตามที่ Kool Herc เรียก ทุกๆครั้งที่มี Party ใครที่เข้ามา
ใน Party เป็นประจำจะมีชื่อพิเศษที่ Kool Herc ตั้งให้และเรียกกันติดปาก เป็นที่มาของคำว่า
A.K.A. (All Know As แปลว่าทุกคนรู้จักในชื่อว่า ... ) ตามด้วยชื่อที่ Kool Herc เรียกเป็น
ฉายาต่างๆ โดยจะประกาศผ่านไมโครโฟนเพื่อแสดงตัวของคนๆนั้น เป็นที่ว่าของคำว่า
"MC" (Master of Ceremonies)
เมื่อการเต้นพัฒนาไปเป็นความเจ๋ง กลุ่มวัยรุ่นที่เกเรทำที่เคยทำตัวเป็นนักเลงได้เปลี่ยนมาทำกิจกรรม
เพื่อแสดงตัวตนของกลุ่มตัวเอง ผ่านการเต้นในรูปแบบของกลุ่มและคนนั้นๆ เพื่อแสดงความเจ๋งออกมา
ให้กลุ่มอื่นๆได้เห็น กลุ่มอื่นๆก็ไม่ยอมทำให้เกิดการแข่งกันใน Circle ซึ่งเรียกวัฒนธรรมนี้ว่าการ
"Battle"โดยแต่ละฝ่ายก็จะทำท่าที่เจ๋งกว่าอีกฝ่ายหรือแสดงว่าตนทำท่าได้เช่นเดียวกันแต่ดีกว่า เป็นต้น
จาก Block Party มาสู่ข้างถนนวัฒนธรรมนี้กระจายไปอย่างรวดเร็วมีการจัด Party กันในสนามบาสข้างๆ
ตึกที่อยู่อาศัยของตนเอง ความรุนแรงและอาชญากรรมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดสังคมเริ่มดีขึ้นเพราะ
มีกิจกรรมที่รองรับการแสดงออกของวัยรุ่นที่ถูกวิธีทำให้เกิดสังคมเล็กๆที่เรียกว่า "Hip-Hop" ขึ้นมา
DJ Kool Herc the father of Hip-Hop !!!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)