เข้ามาอ่าน ทั้งคนที่รู้จักผมและไม่รู้จักผม ผมเชื่อว่าการเขียน Blog ในนี้น่าจะช่วยให้หลายๆคนเข้าใจ
วัฒนธรรม Hip-Hop และ B-boy,B-girl รวมไปถึงการใช้ชีวิตของมนุษย์หนึ่งคนอย่างที่ควรจะเป็น
ในแบบของคนๆนั้นได้มากขึ้น
จากโลกฝั่งตะวันตกที่ซึ่งหลากหลายอารยะธรรมจากหลายชนชาติมารวมกัน ประเทศที่เรียกได้ว่าเป็น
ผู้นำของโลก ผู้พลิกเศรษฐกิจได้เพียงพลิกฝ่ามือ ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงประเทศ "สหรัฐอเมริกา"
ในโลกฝั่งตะวันตกที่แต่เดิมรับเพียงวัฒนธรรมจากชนผิวขาว จนกระทั่งหลายสิ่งหลายอย่างได้
เปลี่ยนไป หลังยุคสงครามโลก อเมริกาเป็นประเทศหนึ่งที่มีทั้งผู้อภยพ และ ผู้แสวงโชคเข้ามาหากิน
กันอย่างมากมาย หรือแม้แต่ชนผิวดำจากแอฟริกาซึ่งเคยเป็นทาสจากยุคอาณานิคม ได้รับอิสรภาพ
ให้แสวงหาชีวิตใหม่ของตนเองได้เยี่ยงพลเมืองชั้นหนึ่ง (คนผิวขาว) ทั่วไปถึงแม้กระนั้นการเหยียดผิว
ในอเมริกาก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1969 ด้วยสภาพสังคมที่เสื่อมโทรมใน New York มีทั้งนักเลง, คนขายยา, โสเภณี
และปัญหาอาชญากรรมมากมาย ด้วยสภาพสังคมที่ยังครุกรุ่นในเรื่องการเหยียดผิวอยู่อย่างต่อเนื่อง
ทำให้พลเมืองชั้นสอง (คนผิวดำ) มีสภาพความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ทั้งในเรื่องของสาธารณูปโภค
ที่เป็นเพียงตึกแถวหลายชั้นที่ไม่มีไฟ ไม่มีน้ำ ไม่มีเครื่องทำความร้อน (สภาพอากาศของเมืองนี้หนาว
การที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนนั้นเป็นเรื่องที่แย่มากในฐานะพลเมือง) ทำให้เกิดการเดินขบวนและเรียก
ร้องสิทธิของคนผิวดำอยู่บ่อยๆ
ในย่าน Bronx ชายคนหนึ่งลุกขึ้นมาเปิด Party ขึ้นในเขตตึกที่อยู่อาศัยของตนเอง เรียกว่า
"Block Party" ชายคนนี้มักจะขับรถเปิดประทุน และ นำลำโพงขนาดใหญ่สองตัวไว้ที่เบาะ
ด้านหลัง ขับไปทั่วเมืองพร้อมกับป่าวประกาศให้ผู้คนมาร่วม Block Party ที่ตนจัดอยู่เสมอๆ
ชายผู้นี้เรียกตัวเองว่า "Kool Herc"
ทุกๆครั้งที่มี Party ทุกคนจะสนุกสนานจนลืมสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของสังคมที่ตนอยู่อาศัย
Kool Herc ได้นำเครื่องเล่นแผ่นเสียงสองเครื่องมาเปิดถูกเรียกกันว่า "DJ" (Disc Jockey) และทำการ
เปิดพร้อมกันและทำการสร้างจังหวะด้วยเสียงกลอง และเสียงดนตรีต่างๆ จนเกินจังหวะที่เรียกว่า "Breakbeat" (ในสมัยนั้นเพลงที่นิยมเปิดกันใน Block Party ก็จะเป็นแนว Funk และ Soul เป็นส่วนมาก)
ซึ่งจะเอาเฉพาะช่วงที่เป็นจังหวะกลองเท่านั้น ด้วยจังหวะที่สนุกสนานทำให้เกิดการเต้นเป็นวงกลม
ตามแบบฉบับของคนแอฟริกันโดยการยืนล้อมเป็นวงกลม และ มีหนึ่งเต้นอยู่ตรงกลางโชว์ลีลาใน
แบบของตนเอง วงกลมเหล่านี้ถูกเรียกว่า "Circle" ในวงกลมนั้นการเต้นเริ่มมีการพัฒนาจากการ
ยืนเต้น "Toprock" จนกระทั่งลงไปเต้นหมุนตัวที่พื้น เป็นที่มาของ "Downrock" หรือ "Footwork"
และทุกครั้งที่มีการหยุดเต้นหรือโพสท่าจบก็จะเรียกกันว่า "Freeze"
การเต้นลักษณะนี้เป็นที่นิยมมากในหมู่วัยรุ่นย่าน Bronx ทุกๆคนต่างเรียกคนที่เต้นใน Circle
ถูกเรียกว่า "B-boy" หรือ "Break boy" ตามที่ Kool Herc เรียก ทุกๆครั้งที่มี Party ใครที่เข้ามา
ใน Party เป็นประจำจะมีชื่อพิเศษที่ Kool Herc ตั้งให้และเรียกกันติดปาก เป็นที่มาของคำว่า
A.K.A. (All Know As แปลว่าทุกคนรู้จักในชื่อว่า ... ) ตามด้วยชื่อที่ Kool Herc เรียกเป็น
ฉายาต่างๆ โดยจะประกาศผ่านไมโครโฟนเพื่อแสดงตัวของคนๆนั้น เป็นที่ว่าของคำว่า
"MC" (Master of Ceremonies)
เมื่อการเต้นพัฒนาไปเป็นความเจ๋ง กลุ่มวัยรุ่นที่เกเรทำที่เคยทำตัวเป็นนักเลงได้เปลี่ยนมาทำกิจกรรม
เพื่อแสดงตัวตนของกลุ่มตัวเอง ผ่านการเต้นในรูปแบบของกลุ่มและคนนั้นๆ เพื่อแสดงความเจ๋งออกมา
ให้กลุ่มอื่นๆได้เห็น กลุ่มอื่นๆก็ไม่ยอมทำให้เกิดการแข่งกันใน Circle ซึ่งเรียกวัฒนธรรมนี้ว่าการ
"Battle"โดยแต่ละฝ่ายก็จะทำท่าที่เจ๋งกว่าอีกฝ่ายหรือแสดงว่าตนทำท่าได้เช่นเดียวกันแต่ดีกว่า เป็นต้น
จาก Block Party มาสู่ข้างถนนวัฒนธรรมนี้กระจายไปอย่างรวดเร็วมีการจัด Party กันในสนามบาสข้างๆ
ตึกที่อยู่อาศัยของตนเอง ความรุนแรงและอาชญากรรมน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดสังคมเริ่มดีขึ้นเพราะ
มีกิจกรรมที่รองรับการแสดงออกของวัยรุ่นที่ถูกวิธีทำให้เกิดสังคมเล็กๆที่เรียกว่า "Hip-Hop" ขึ้นมา
DJ Kool Herc the father of Hip-Hop !!!
Hip hop born to be peace!!
ตอบลบIf you want to help him you can go to
ตอบลบhis website
http://www.djkoolherc.com/
cuz he get sick right now !
A.K.A. ย่อมาจาก Also known as ไม่ใช่หรอ
ตอบลบขอบคุณครับ :)
ลบ