วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Power of Ten

สวัสดีครับวันนี้ผมคงไม่เขียนอะไรมากมายแต่แค่อยากจะฝากคลิปๆหนึ่งไว้ให้
ทุกท่านได้ชมกัน บางท่านอาจจะเคยดูแล้วแต่บางท่านอาจจะไม่เคยดูเลย
เป็นคลิปวีดีโอที่ทำในยุค 70's มีหลายคนถามถึงก็เลยอยากจะเอามาแปะไว้
ในนี้เพราะผมเห็นว่ามันดีมีประโยชน์ อยากให้ลองดูจนจบครับ ;)



คลิปนี้มีชื่อว่า Power of Ten เป็นคลิปเก่าแต่เปิดดูกี่ทีมันก็ยังใช่ เพราะความจริง
ของมนุษย์ที่ว่าเรานั้นไม่ได้สำคัญมากมายอะไรในจักรวาลเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆของ
ระบบที่ใหญ่มาก จนเราไม่สามารถจะเข้าใจทุกๆอย่างได้ ..




 

Power of Ten 
พลังแห่งการขยาย 10 เท่า 




 ถ้าท่่านดูจบแล้วลองมาตั้งคำถามกับตัวเองดูว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ชีวิตที่ใช้อยู่เนี่ยมันใช่
แบบที่ต้องการมั้ย ? เราสมควรเกลียด ควรทะเลาะกับใคร หรือ ทำสงครามกับใครรึป่าว ? 
ชีวิตที่ฟุ่มเฟือย คิดว่าตัวเองเก่ง ลาภยศ สรรเสริญมันคืออะไร สรุปเราคิดไปเองทั้งนั้น บ้าไป
ด้วยกัน ไม่มีอะไรสำคัญเลย เราเล็กมากถ้าเทียบกับจักรวาล เราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่กระพริบได้ ที่พยายามจะคิดครอบครองธรรมชาติ ? ทั้งๆที่เราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ลองคิดดูครับว่าชีวิตนี้เราทำอะไรเพื่อใครบ้างรึยัง หรือยังโง่มองว่าคนอื่นเลว เราดี คนอื่นดี เราเลวอยู่ ทั้งๆที่ดีกับเลวมันก็เล็กเท่ากัน แล้วเราจะไปบ้าีดี บ้าเลว กันทำไม ? ลองตั้งคำถามพวกนี้ในหัวดูครับแล้วลองคิดดูว่าเราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเรายังไง ..




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5



วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นจริงของความจริง !

สวัสดีครับท่านผู้อ่านวันนี้ว่างเลยอยากเขียนอีกซักหนึ่งบทความ วันนี้ก็วันพุธแล้ว
อยากจะให้คุณๆท่านๆ ออกมาทำเรื่องดีๆเพื่อตนเองและสังคมกันครับทำอะไรง่ายๆ
ในบ้าน นอกบ้านกับเพื่อนร่วมงาน จะได้เติมเต็มความสุขใจให้ตนเองด้วยครับ




มาเริ่มกันเลยดีกว่า .. วันนี้จะมาพูดถึงเรื่องของ "ความเป็นจริง" อะไรคือความเป็นจริง ?



ความเป็นจริงคือการรับรู้ผ่าน ตา หู ปาก จมูก ลิ้น และ ร่างกาย แล้วประมวลผลการรับรู้
ออกมาเป็นสิ่งที่เราเข้าใจผ่านสมอง ทำให้เรามองเห็นสิงต่างๆอย่างที่เราเห็น รู้สึกอย่าง
ที่เรารู้สึก แล้วตอบรับสิ่งต่างๆออกมาตามความรู้ึสึกนึกคิดของเรา


โลกแห่งความเป็นจริงของเรามันเป็นโลกแห่งความเป็นจริงได้เพราะเราคิดว่ามันเป็นจริง
ผ่านสติของเราเท่านั้นไม่ใช่ประสาทสัมผ้สของอวัยวะใดใด อวัยวะต่างๆเป็นเพียงสื่อที่
จะทำให้ส่วนประกอบของภาพหรือรูปแบบการรับรู้ของเราแจ่มชัดขึ้นในแบบที่เรา "คิด"




ทำไม่ต้องแบบที่เราคิด ?   

ทั้งๆที่การรับรู้โดยตรงนั้นแทบไม่ต้องใช้ความคิดเพียงแต่ใช้แค่ความรู้สึกเท่านั้น สัมผัสทุกอย่าง
และรับรู้มันได้โดยตรง ความคิดเป็นเรื่องของการประมวลตัดแต่งเพิ่มเติม ลดทอน ส่งเสริม ใส่
ทัศนะคติที่ดี ที่เลว ชอบ ไม่ชอบ เกลียด รัก มีความสุข ความทุกข์ ตรงนี้คือส่วนที่สมองจะทำงาน
ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นต้องทำงานก็ได้การรับรู้ที่ออกมาก็จะมีความบริสุทธิ์กว่ามาก เพราะมันคือการ
รับรู้ผ่านการทำงานของอวัยวะส่วนนั้นโดยตรงเลย สมองไม่มีหน้าที่อะไรเลยด้วยซ้ำที่จะนำสาร
นั้นมาดัดแปลงลงมาใส่ในความคิดและจิตใจของเรา

หน้าที่ของสมองมีเอาไว้คิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหา คำนวนสิ่งต่างๆ ใช้ตรรกะ เอาตัวรอดในสถานการณ์
ต่างๆได้ ใช้เหตุผลเพื่อทำให้ิ่สิ่งต่างๆตั้งอยู่้ด้วยกันให้ได้ ไม่มีปัญหาใดใด เราลองมานึกกันเล่นๆดูครับ
ว่าถ้าเราใช้สมองเดิมๆของเรา แต่ตาของเราไม่ใช่ตามนุษย์ แต่เป็นตาของแมลงวันมาตั้งแต่เกิด มันจะ
เกิดอะไรขึ้นครับ แน่นอนว่าตาของแมลงวันสามารถมองได้ไวกว่ามนุษย์หลายเท่า ดังนั้นการรับรู้ด้วย
ตาของแมลงวันและสมองของมนุษย์ เมื่อทำงานร่วมการรับรู้ความจริง ที่แตกต่างออกไป คนๆนั้นจะ
เป็นทุกอย่างเป็นภาพช้า (ภาพ Slow) มีการขยับร่างกายได้ไวกว่าปกติ เพราะด้วยการรับรู้ที่แตกต่างไป
จากตาของมนุษย์ปกติ ความเข้าใจ การเรียนรู้สิ่งต่างๆก็กลายเป็นเรื่องอื่นๆไปเลย เขาจะกลายเป็นคน
บ้าท่ามกลางหมู่คนปกติไปเลย ผมถึงบอกว่าตากับสมองเป็นตัวกำหนดสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง
ของเราคนเดียวเท่านั้น !



เอาอีกซักหนึ่งตัวอย่างหนึ่งครับ สมมุติว่าผมมองเคยเห็น UFO มองเห็นวัตถุทรงกลมคล้ายยานที่มี
แสวงสว่างออกมาจากตัวเองบินอยู่ในเวลากลางคืน แค่กับคนที่ไม่เคยเห็นเข้าจะบอกว่าผมบ้าทันที
หรือจะเกิดอาการสงสัยและไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดถึงว่ามันคืออะไร เพราะไม่เคยมีประสบการณ์แบบ
เดียวกัน ความจริงของผมเลยไม่ใช่ความจริงของคนอื่นๆ เพราะไม่ว่ามันจะเป็นอะไรผมก็เคยเห็น
สามารถอธิบายรูปร่างและวิธีการเคลื่อนที่ เวลาสถานที่ ได้อย่างชัดเจน แต่ทว่ากับคนที่ไม่เคยเห็น
เหมือนกับที่เราเห็นเขาก็จะไม่เข้าใจ กลายเป็นเราไปอำเขาตลกๆ ทั้งๆที่เราเห็นมันจริงๆ



ความจริงของแต่ละคนจะสามารถเข้าใจได้ด้วยสิ่งเดียว ไม่ใช่ประสาทสัมผัส แต่เราสามารถรับรู้ได้
ผ่านสิ่งเดียวคือ "สติ" ถ้าคุณฟังอาจารย์สอนในห้องเรียนตลอด โดยไม่ฟังเพื่อนข้างๆเม้าท์เรื่องต่างๆ
ให้ฟังรับรองได้ว่าเพื่อนในห้องของคุณก็แทบจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นเพราะสติของคุณจับอยู่กับการสอน
ของอาจารย์เลยไม่ได้ยินว่าเพื่อนเรากำลังพูดอะไร และการรับรู้นั้นแหละครับคือความจริงของเรา
บางครั้งความจริงที่ว่านี้มันก็อยู่ในความฝัน ความฝันทุกครั้งที่เรารู้สึกว่ามันจริงเหลือเกินทั้งๆที่เรากำลัง
หลับอยู่หลายๆอย่างเกิดขึ้น ทั้งฝันดี ฝันร้าย อยู่กับคนที่รัก ถูกไล่ล่า ทุกอย่างเหมือนจริงยังกับเรา
อยู่ตรงนั้นจริงๆก็เ้พราะว่ามันจริงของเราไงครับ !  คุณเคยง่วงนอนมากๆแล้วต้องฝืนไม่นอนมั้ยล่ะครับ
มันจะมีอาการ "กึ่งหลับกึ่งตื่น" คือ ฝันในขณะที่กำลังลืมตา จะมีความคิดไม่พึงประสงค์โผล่เข้ามา
เพราะเราเหนื่อยๆมากๆ มีเสียงอะไรผ่านเข้ามา ทั้งๆที่ไม่มีเสียงอะไร แต่กลับเป็นเีสียงในหัวของเรา
เพราะเหนื่อยๆมากจนความจริงกับความฝันเริ่มมารวมกันและในทีุ่สุดคุณก็จะง่วงนอนมากจนหลับไป
อาการนี้มาจากการไหน ? แล้วทำไมมันรู้ึสึกจริงเหลือเกิน ทั้งๆทีตาของเราก็ลืมอยู่แต่มองอะไรได้พร่่า
มัว หูของเราก็ได้ยินอยู่แต่กลับได้ยินเสียงที่ไม่ได้มาจากภายนอกแทน ฉนั้นความจริงของเราก็ไม่ได้
มาจากภายนอกเสมอไป ความจริงคือการรับรู้ผ่านสติ แม้จะไม่ได้เป็นแบบภาพที่ลูกตาเราเห็นแต่
สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คืออะไร ตรงนี้ต่างหากคือความเป็นจริง






คนเรามันบ้าพอๆกัน เข้าใจสิ่งต่างๆคิดสิ่งต่างๆ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเหมือนกัน ทั้งๆที่ความเป็นจริง
ที่เรามองเห็นมันก็แทบจะไม่ใช่ความเป็นจริงเลยด้วยซ้ำ เราเชื่อประสาทสัมผัส เราเชื่อสมอง เราเชื่อ
คนที่คิดแบบเดียวกับเรา ทั้งๆที่เขาก็เห็นความจริงๆในแบบเดียวกันแต่ก็ไม่รู้ว่ามันไม่จริง ไม่มีอะไรเชื่อ
ได้จริงๆิ่สิ่งที่เราเชื่อได้คือสิ่งที่เราใช้สติของเราเข้าไปสัมผัสมันเท่านั้น คนบ้ามีโลกของคนบ้า ความจริง
ของคนบ้านั้นแตกต่างจากเราเพราะเขามีวิธีการคิดที่เหนือจากตรรกะของสิ่งทั่วๆไปที่เรามองเห็น บาง
อย่างมันไม่มีเหตุผลสำหรับเราแต่สำหรับคนบ้ามันมีเหตุผลสำหรับเขามาก และนั่นคือความเป็นจริง
ของคนบ้าที่เขามองเห็นและคนทั่วไปก็บอกว่าเขาบ้า เพราะเขาไม่ได้รับความจริงในแบบเดียวกับเรา



ทุกวันนี้คนปกติที่ยอมรับความเป็นจริงแบบเดียวกันก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าปกติเพราะคิดว่า
ตัวเองเก่งตัวเองฉลาดที่สุด ปฏิเสธในสิ่งที่ตัวเองมีสัมผัสไม่ได้ว่ามันไม่มีจริง ทั้งๆที่ความสามารถในการรับรู้ของมนุษย์มีความสามารถที่ไม่ละเอียดมากขนาดนั้นแต่ก็ยัง ยึดติดประสาทสัมผัสของตัวเอง ยึดติดสมองของตัวเองว่ามันเลิศเลอเชื่อได้อยู่เสมอทั้งๆที่จริงๆมันไม่ใช่ ร่วมกันเพ้อเจ้อเข้าใจว่าตนเองจะสามารถควบคุมโลก ควบคุมธรรมชาติได้ ยึดครองทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่ก็ไม่เคยสู้ความเป็นจริงของธรรมชาติได้เลยแม้แต่นิดเดียว ความจริงของเราถูกคนอื่นๆสนับสนุนว่ามันจริงเราก็เลยชื่อมาตามๆกันว่ามันจริง บางอย่างที่เหนือธรรมชาติเวลาเราเห็นมันก็มักจะถูกปฏิเสธจากตรรกะของเราและความคิดของผู้อื่นว่ามันไม่จริงทั้งๆที่มันจริงมากเพราะมันเกิดขึ้นกับเราโดยตรงซึ่งใครก็ไม่สามารถเข้าใจในแบบที่เราเข้าใจได้ ความจริงของคนตาบอดแต่กำเนิดกับความจริงของคุณแน่นอนมันต้องแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับฉันใดก็ฉันนั้น !




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Battle กับตัวเอง

สวัสดีครับท่านผู้อ่านห่างหายไปหลายวันเป็นยังไงกันบ้างครับผมหวังว่าคงสบายดี
วันนี้มาอ่านผมฟุ้งกันหน่อยนะครับ วันนี้ขอเขียนเกี่ยวกับเรื่องการ Battle ซักหน่อย




BATTLE - สงคราม 

การ Battle ในภาษาของวัฒนธรรม Hip-Hop คือการท้าทายแข่งขันกันในเรื่องของ
ความสามารถว่าใครเจ๋งกว่า ของใครเยอะกว่า (ความสามารถใึครเยอะกว่า) เป็นการ
สู้กัีนด้วยความสามารถในเชิงของความคิด ศักยภาพในการแสดงออกถึงตัวตนของ
แต่ละคน ว่ามีอะไรที่สามารถลบล้างความสามารถของฝ่ายตรงข้ามได้บ้าง ไม่ใช่
การใช้กำลังเพียงอย่างเดียว .. 




ถ้าจะพูดถึงเรื่องของการ Battle ในวัฒนธรรมของ Hip-Hop แล้วก็จะเน้นเรื่องของความ
สามารถด้านความคิดการสื่อสารกับฝั่งตรงข้ามในเรื่องของฝีมือ ว่าใครมีไอเดียดีกว่า
ใครมีเทคนิคที่เหนือกว่า ซึ่งใน 4 Elements ของ Hip-Hop (ฺB-boy ,DJ ,Graffiti และ MC)
 แล้ว เป็นการต่อสู้ในเรื่องของตัวตนล้วนๆ ส่วนเรื่องเทคนิคเป็นสิ่งที่คนที่ทำใน Element
นั้นๆจะสามารถรู้ได้ว่าใครเก่ง ตามการรับรู้ในประสบการณ์ของแต่ละคน ในบางครั้งเป็นเรื่อง
ที่เข้าใจได้ยากสำหรับคนทั่วๆไป เพราะคนที่ทำกัีบคนที่ไม่ได้ทำจะมองกันคนละแบบเช่นว่า
คนที่คิดว่า B-boy ที่เต้นท่าตีลังกาหรือท่ายากๆ นั้นจะต้องเก่งกว่าเสมอไป ทั้งๆที่ความไหล
ลื่นการฟังเพลงอาจจะไม่มีเลยแต่ กลับไปมองภาพที่เห็นซะเป็นส่วนมาก เพราะความคิดที่
ว่า B-boy จะต้องมีท่ายากๆจะต้องตีลังกาหมุนหัว ต้องลอยได้มันอยู่ในหัวมาก่อนแล้ว แต่
อันที่จริงก็ไม่ได้ทราบว่าสิ่งเหล่านี้เป็นท่าที่ปกติมากสำหรับคนที่เต้นทั่วๆไป เพราะทุกคนฝึก
แต่แค่ใครจะนำเสนออะไรออกมามากกว่าเท่านั้นเอง เพราะอีกคนอาจจะทำท่ายากได้เยอะ
มากๆก็ได้แต่แค่อยากจะนำเสนอสิ่งที่แปลกใหม่ไม่มีใครเคยเห็น ผมจึงบอกว่ามันเป็นการต่อ
สู้กันด้วยความคิด ตัวตนของแต่ละคนโดยผ่านการฝึกฝนมาตามสิ่งที่ตัวเองชอบและถนัด
โดยสิ่งเหล่านั้นจะนำมาเป็นไม้ตายในการต่อสู้ของคนนั้นๆ บางครั้งอาจจะเป็นแค่เทคนิคง่ายๆ
แต่มันไม่มีใครคิดจะทำก็สามารถเป็นอาวุธทางความคิดที่สามารถเอาชนะฝั่งตรงข้ามได้เหมือนกัน
บางทีความยากก็ไม่ใช่บทสรุปของการชนะแพ้เสมอไป ความแปลกใหม่ในบางครั้งที่มันใหม่
มากๆอาจจะทำให้คนดูไม่เข้าใจ เข้าหาเราไม่ถึงแต่อย่างไรก็ตามถ้าเราตั้งใจทำมันจนมันใช้ได้
เข้ากับตัวตนเราได้จริงๆ และเราถนัด สิ่งนั้นจะส่งเสริมความสามารถของเราให้พัฒนาไปอีกขั้น
ซึ่งตรงนี้สำคัญมากๆถ้าในภาษาของวัฒนธรรม Hip-Hop เราจะเรียกสิ่งนี้ว่า "Style"




ปัจจุบันการ Battle มีหลายแบบหลายลักษณะตามจุดประสงค์ต่างๆ เช่นว่า Battle เพื่อชิงรางวัล 
หรือ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ สมัยนี้การแข่งขันในเรื่องของนี้มีมากขึ้น มีเรื่องของรางวัล มีชนะ มีแพ้
มากขึ้นจนทำให้คนที่เริ่มก้าวเข้ามาู่สู่เส้นทางนี้สับสนว่าต้องทำอะไร การ Battle จริงๆไม่ได้มา
จากการที่มีใครคนหนึ่งเอาเงินรางวัลมาตั้งแล้วตั้งหน้าตั้งตาสู้กันเพื่อแย่งเงินรางวัล หรือ มีกรรมการ มานั่งตัดสินว่าใครเก่ง ใครผิด ใครถูก การ Battle จริงๆไม่มีเงินรางวัล มีแต่เรื่องระหว่างคนสองคนที่จะสามารถตัดสินกันเองได้ว่าตัวเองแพ้หรือชนะ เก่งจริงหรือไม่จริง ลึกๆเมื่อ Battle กันเสร็จก็จะรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นยังไงขาดอะไร เป็นการสู้กันด้วยความเป็นตัวของตัวเอง และจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะรู้ผล เพราะมันคือการสู้กับตัวเอง แต่มีคนอีกคนมาแข่งๆกับเราเพื่อเป็นเครื่องชีวัดว่าเรามีความามารถมากน้ิอยขนาดไหน เป็นการ Battle เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ไม่ใช่พิสูจน์ให้คนอื่นรู้ว่าเราเก่งไม่ได้พิสูจน์ให้คนอื่นรู้ว่าเราต้องได้รางวัล มันเป็นคนละเรื่องกัน เพราะการแข่งขันมันเป็นแค่เกมส์ ที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เราพัฒนาฝีมือ แต่ไม่ได้แปลว่าการแข่งขันงานใดงานหนึ่งจะทำให้คุณกลายเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลก โลกใบนี้มีผู้คนมากมายที่มีฝีมือแต่ไม่ยอมออกมาแข่งก็มี บางคนหลงโลกมองว่าการแข่งขันพวกนี้เป็น Battle จริง เลยไปเอาจริงเอาจังคาดหวังกับงานแข่งมากจนเกินไป จนทำให้ตัวเองเสียสูญหลงทาง จนหาตัวเองไม่เจอว่าตัวเองชอบอะไรก็มีเยอะแยะไป เลยทำอะไรได้ไมุ่สุดซักอย่างเพราะมัวแต่มานั่งคิดโทษว่าคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี กรรมการแย่ กรรมการห่วย แต่ไม่เคยรู้ว่าใจของตัวเองต้องการอะไร ดังนั้นแข่งกี่ 10 กี่ 100 งาน ก็ไม่มีทางเข้าใจตัวเองได้ เพราะเอาใจไปผูกกับสิ่งภายนอกมากจนเกินไป ทั้งๆที่ตัวเองก็มีความสามารถแต่ไม่เคยคิดถึงตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง แล้วใครจะมาทำเพื่อคุณ ในเมื่อคุณยังไม่รู้จักตัวเอง จะให้คนอื่นเขามารู้จักคุณในแบบของคุณเองได้ยังไง ?







Battle ที่แท้จริงคือการสู้กับตัวเอง สู้กับความกลัว ความคิด ความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์ สู้กับเหตุการณ์
เฉพาะหน้าที่ไม่คาดฝัน คู่ต่อสู้ของคุณคือเงาที่สะท้อนความกลัวของคุณออกมาผ่านสิ่งที่คุณทำ ใคร
ที่พลาดไปคิดถึงเงาของตัวเองมากเกินไปก็เสียสติเสียสูญในการต่อสู้ในแต่ละครั้งได้ คนที่แพ้ส่วนใหญ่
คือคนที่ไม่รู้จักตัวเอง ตามเกมส์คนอื่น ตามความกลัวของตัวเองไปจนกระทั่งมันกลัวขึ้นมาจริงๆ มันก็
เลยพลาดพลั้งเสียที "ตัวของตัวเอง"    



การสู้กับใจตัวเองเป็นสิ่งที่ยากที่สุดยากยิ่งกว่าการสู้กับภาพที่เรามองเห็นซะอีก !




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คิด + ทำ = แม่เหล็ก !

สวัสดีครับท่านผู้อ่านห่างไปเสียนานไม่ได้ Update เลย เป็นอย่างไรกันบ้างครับหวังว่าคงจะสบายดี
มีความสุขกันทุกคน อากาศก็เริ่มเปลี่ยนฝนในกรุงเทพฯก็ไม่ค่อยตกแล้ว ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วย
นะครับ  ;)




คุณเชื่อเรื่องแรงดึงดูดเกี่ยวกับความคิดรึป่าว ? 




ยิ่งคิดถึงมันมากเราก็ยิ่งเข้าใกล้มันมากขึ้น ..


ได้พบเจอได้สัมผัสมันมากขึ้น .. 


มีความเชื่อมโยงโดยบังเอิญ .. 


บางครั้งก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันมีที่มาอย่างไร .. 



ความคิดของเราเป็นเสมือนแม่เหล็กจริงๆ ถึงแม้แต่จะแค่คิดแต่ไม่ได้ทำอะไรเลย
มันก็ยังคงได้พบสิ่งนั้นอยู่ดีอาจจะเป็นแค่ภาพ คำพูด การฟัง ความคิดของเราจะ
ปักทัศนะคติแบบนั้นลงไปในสมองของเราว่า วันนี้นายต้องเจอมัน


ตัวอย่างเช่น 

ช่วงนี้ผมชอบแชร์รูปสาวรัสเซีย ฝรั่ง  อยู่ดีๆชีวิตมันก็เริ่มอินเตอร์ ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ 
มีเพื่อนมาจากรัสเซีย มาหลาย คนหลายกลุ่ม หลายเที่ยว ญี่ปุ่น แคนาดา แขก สเปน 
มาหมด มาแบบงงๆเบลอๆ มาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เรียกได้ว่าไม่ค่อยได้พูดภาษาไทย
เลยวันๆ 


เรื่องราวต่างๆมันถูกดึงดูดให้เราเข้าไปทำอะไรเหล่านั้นพัวพันกับคน กับสังคม กับอะไรมากมาย
ที่เราคิดทั้งๆที่ บางอย่างเราไม่ได้คิดถึงมาก แต่ลึกๆก็คิดอยู่ในใจ หรือบางอย่างที่เราคิดทุกวัน
มันผลิตสิ่งที่เรียกว่า แม่เหล็ก ขึ้นมาดึงหัวของเราเข้าไปติดกับสิ่งเหล่านั้นอย่างน่าแปลกประหลาด
คนที่บอกว่าอยากได้นั้นได้นี่ แต่เอาแต่พูดไปเรื่อยแบบไม่ได้จริงๆจังมันก็จะได้ แต่แรงดูดมันจะเบาๆ
ตามความไม่ใส่ใจของเรา คิดถึงมาก จริงจังมาก ดูดมาก คิดถึงน้อย จริงจังน้อย ดูดน้อย มันไม่ใช่
แค่กระแสความคิดอย่างเดียว ความคิดพวกนี้มักจะพาเราให้ไปทำในสิ่งที่เราคิดอยากจะได้ อยากจะทำ
อย่างเช่น อยู่ดีๆผมก็อยากพูดภาษารัสเซียเป็นขึ้นมา ทั้งๆที่จริงๆไม่เคยคิดจะสนใจเรียนเลยแต่ชอบ
ประเทศนี้ตรงที่ว่า สาวสวย ในเกมส์วางแผนการรบโซเวียตมันเท่ห์ดี พูดภาษาัอังกฤษห้วนๆติด ร เรือ
แบบมีสไตล์ แต่สิ่งที่ผมพล่ามมาทั้งหมดนี้กลายเป็นเหตุผลรองไปทันที เพราะท่านได้เห็นเหตุผลหลักของผมอยู่ตรงคำแรกแล้วว่า "สาวสวย" ทุกอย่างจบแค่คำนั้นและนั่นแหละคือแกนความคิดของเรา และมันจะมีเหตุผลอื่นพ่วงตามมากับความไม่มั่นใจในคำตอบ หรือ ต้องการหลบเลี่ยงความคิดของตัวเองให้ผู้อื่นรู้นั่นเอง !



จากประสบการณ์ของผมการแค่คิดบางคนบอกว่าไม่ได้ทำก็ไม่เกิดประโยชน์ อาจใช่ครับแต่ไม่ใช่ทั้ง
หมดสำหรับผม คนเราแค่เริ่มคิดมันก็เยี่ยมแล้วเพราะแรงบรรดาลใจทำให้แม่เหล็กในหัวเราทำงานแล้ว
เมื่อมันทำงานมันก็จะค่อยๆเริ่มหาวิธีทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ แม้บางความคิด
ที่สมองผลิตออกมาจะใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าความคิดนั้นมีความแข็งแรงพอ มีพลังงานที่เรียกว่า
"ความรู้สึกดี" มากพอมันก็ยังจะสามารถขับเคลื่อนความคิดให้กลายเป็นความจริงได้ แต่ยังไงซะเราก็
ยังต้องการพลังงานในการขับเคลื่อนความคิดอยู่ดีดังนั้นผลของสิ่งนี้มันจะอยู่ที่ ประสบการณ์ เหตุ
ปัจจัยต่างๆ ที่ความคิดใช้และแสดงออกมาผ่านการกระทำว่ามันประมวลผลได้แบบไหน บางครั้ง
ความคิดของเราอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุดจนสามารถดึงทุกอย่างที่เราต้องการเข้ามาหาเรา แต่ว่า
ถ้าเราเข้าใจกฏธรรมชาติของการคิด เราจะเข้าใจหลักการทำงานของมัน กระบวนการคิดของเราถ้าหากเรายิ่งไปย้ำมันมากๆแล้วไม่ทำแสดงว่าเราแค่คิดอยากจะพูดเฉยๆ ไม่ได้อยากลงมือทำจริงๆนั่นคือ"ความคิดที่ไม่แท้" ดังนั้น "ความคิดที่แท้" จะทำงานต่างกันคือหลังจากคิดแล้วจะไปออกที่การกระทำในแง่ของการปฏิบัติเลย จะไม่คิดซ้ำไปมา การซ้ำความคิดมากๆมันจะทำให้เราเบลอและยิ่งงุนงงสับสนกับความคิดพวกนั้น และยิ่งคิดๆๆๆๆๆๆ ก็จะยิ่งลืมๆๆๆๆ เพราะธรรมชาติของมันเป็นแบบนั้น ยิ่งกระตุ้นมันมันไม่ใช่ยิ่งจำนะครับ แต่มันกลับทำให้ยิ่งลืมง่าย เพราะเมื่อเราเจอความคิดใหม่ที่ดีกว่าเข้ามาแทรกของเก่าก็ตกประเด็นไปเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจแล้วล่ะครับ แต่ถ้าเราคิดแล้วทำเลย มันจะให้ผลที่แตกต่างแม่เหล็กจะทำงานได้มากขึ้นเพราะเราแสดงเจตจำนงของเราผ่านการกระทำไม่ใช่ "คำพูด"







ความคิดไม่มีเสียง เว้นแต่ว่าเราจะออกเสียงมัน !!! 

 
การพูดบ่อยๆเป็นอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์ การทำบ่อยๆตามความคิดที่เราตั้งใจ เกิดประโยชน์มากกว่าแม่เหล็กจะทำงานได้แรงและเร็วกว่าเก่าเพราะ เราจะเป็นแม่เหล็กขั้วเดียวกันที่หันเข้าหากันมันจะดูดกันเร็วกว่าเดิมแบบเร็วจี๋ ยิ่งเราทำสำเร็จมากขึ้นเท่าไหร่มันก็จะนิ่งเติมพลังความคิดให้แข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น เพราะแค่เราคิดใจเราก็จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นแล้ว มาลองนึกดูว่าถ้าทำไปด้วยมันก็ยิ่งจดจ่อมากกว่าเดิมเป็นสองเท่า แล้วความคิดก็จะไม่ใช่แค่ความคิดเพ้อเจ้อ เป็นแค่จินตนาการ แต่มันจะสามารถเกิดขึ้นได้ต่อหน้าต่อตาของคุณถ้าคุณแน่พอ และไม่หยุดเติมพลังความคิด อย่าลืมว่าจินตนาการทำให้เราสามารถอยู่บนโลกใบนี้ในแบบที่เราเป็นได้ ทำให้เรามีน้ำสะอาด มีไฟฟ้าใช้ มีดาวเทียมถ่ายทอดสด มีอินเตอร์เน็ท มี 3G มีเครื่องบินใช้ข้ามประเทศ ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากจินตนาการที่ผ่านการทำจนสำเร็จเป็นผลลัพธ์ของมวลมนุษยชาติ (ยกเว้นธรรมชาติ) 




ขอให้ทุกท่านใช้แม่เหล็กของท่านให้เป็น สามารถเข้าใจการทำงานของมันและสามารถใช้มัน
ให้เกิดประโยชน์กับชีวิตของตัวเองและผู้อื่น จริงๆมันใช้ไม่ยากแต่คนเราชอบ "คิดซ้อน" 
มันก็เลย "ไม่ได้ทำ" เพราะมัวแต่คิดไม่ลองทำมันเลยยากขึ้นไปอีก เราคิดทับจนไม่กล้าดึง
ความคิดออกมาทั้งๆที่ มันก็แค่ดึงออกมาซะก็จบ !
  




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Hip-Hop dance คืออะไรล่ะ ?

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านไม่ได้ update มาหลายวัน ช่วงนี้มีอะไรให้ทำเยอะมีหลาย
โครงการอยู่ในหัวสมอง ไหนจะงานเดือนหน้าที่วิ่งเข้ามาแน่นเอี้ยดด แต่สนุกแน่ๆครับ
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ !


การเต้น Hip-Hop จริงมันมาจากไหนกันแน่ ? 

พื้นๆไม่ได้มาจาก ดนตรี Hip-Hop ที่เราใช้โยกๆกันแบบที่เรารู้จักหรอกหรอ ผมว่ามันก็ใช่
แต่ที่มามันมาจากการเต้นที่ใช้พิสูจน์ตัวตนของคนเต้นด้วย style ของตัวเอง โดยมีพื้นฐาน
มาจากการเต้นกับดนตรี Funk ,Soul ใครที่บอกว่าการเต้น B-boy ,Popping ,Locking
ไม่ใช่การเ้ต้น Hip-Hop นั่นมันเป็นเรื่องที่ผิดสิ้นดี พื้นฐานของวัฒนธรรมการเต้นนี้มันมา
จาก style การเต้นพวกนี้ style การเต้นเหล่านี้แหละเป็นต้นกำเนิดของหลายเทคนิคที่การ
เต้น Hip-Hop ในสมัยใหม่เอามาใช้ทั้งเทคนิคในเรื่องของการ Isolation (การขยับแบบแยกส่วน)
การ Lock (การหยุด) การ Bounce (ฺการเด้ง) การ Footwork (การขยับจังหวะเท้า)
 หลายๆเทคนิคได้นำเอาหลายๆ style การเต้นที่มีมาอยู่แต่เดิมมาผสมผสานเพื่อให้เข้ากับ
จังหวะดนตรีตามแต่ละยุคสมัย จนกระทั่งการเต้นHip-Hop ได้กลายพันธุ์และแตกแขนงออก
มาเป็นหลาย style หลายรูปแบบมากมาย




ความเข้าใจที่ว่าการเต้นแบบนี้เป็นการเต้นแบบ Choreography (การออกแบบท่าเต้น)
เพียงอย่างเดียว เป็นความเข้าใจผิดๆ การเต้น Hip-Hop เป็นการเต้นที่จะมี style เฉพาะตัว
ของแต่ละบุคคล ไม่ใช่การเต้นแบบ Routine (ท่าชุด ท่า set) เพียงอย่างเดียว คนที่เต้น
Hip-Hop คือคนที่จะต้องมี style เป็นของตัวเอง สามารถ Freestyle (ว่าง่ายๆมั่วเป็น) ได้ 
เข้าใจจังหวะการ groove (การโยกตัวไปกับจังหวะเพลงนั้นๆ) ถ้า groove ไม่เป็นมันก็ไม่
ต่างอะไรกับคนเต้นไม่เป็น กลายเป็นหุ่นยนต์ที่เต้นตามเพลงที่กำหนดมาให้เพียงอย่างเดียว
คนที่สามารถ freestyle ได้จะต้องมี พื้นฐานการเต้นจากหลายๆ style เพื่อจะได้เข้ากับเพลง
ที่เปิดขึ้นมา ใครที่บอกว่าเพลง Funk ,Breakbeat Funk ,Disco Funk ฉันเต้นไม่ได้หรอก
เพราะมันไม่ใช่เพลง Hip-Hop คุณคิดผิดถนัดเลย เพราะเพลงเหล่านี้แหละคือพื้นฐานของ
ดนตรี Hip-Hop ที่คุณเอามาใช้เต้นในปัจจุบัน ถ้าคุณเต้นกับมันไม่ได้มันก็เหมือนคุณเต้น
Hip-Hop ไม่เป็นไม่เข้าใจการเต้น Hip-Hop จริงๆ มันไม่ใช่การแบ่งแยกว่า style แบบนี้
เรา้เต้นไม่ได้แต่อย่างน้อยคุณจะต้องเข้าใจที่มาที่ไปของมันคุณถึงจะเต้น Hip-Hop ได้เพราะ
ประวัติาสตร์ Hip-Hop มันมีมายาวนาน คุณต้องศึกษามัน ไม่ใช่บอกว่าฉันเต้นเป็นแต่แบบนี้
ฉันเต้นเป็นแต่ New style (Hip-Hop รูปแบบใหม่) ฉันไม่เข้าใจหรอก และไม่รู้ฉันจะทำไปทำไม
มันก็ได้ครับแต่เมื่อเพลงแบบที่ผมว่าเปิดขึ้นมา คุณจะบอกว่ามันไม่ใช่ Hip-Hop คุณก็คิดผิด
แล้ว ด้วยสื่อเดี๋ยวนี้บิดเบือน ภาพของวัฒนธรรม Hip-Hop จนกลายเป็นอย่างอื่นไปแล้วจน
คนเต้นเข้าใจผิดไปแล้วว่าทุก style มันไม่ได้เกี่ยวกัน ทั้งๆที่ต้นกำเนิดของวัฒนธรรมมัน
มาจากพื้นฐานเดียวกันและมียุคสมัยของมันในการพัฒนาเรื่อยมา คุณอาจจะไม่รู้วันนี้ไม่เป็นไร
แต่ถ้าคุณไม่ศึกษาเลย ไม่เคยทำความเข้าใจเลย แล้วไปเที่ยวพูดว่าฉันเต้น Hip-Hop ทั้งๆที่
รากฐานของมัน แก่นของวัฒนธรรมคุณยังไม่รู้ที่มา ยังไม่สามารถทำพื้นฐานของมันได้
แล้วคุณจะเอาไปสอนไปบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าคุณเต้น Hip-Hop จริงๆ



 B-boying


Popping


  
Locking




คำว่า Hip-Hop dance มันกว้างมาก มันครอบคลุมหลายๆ style การเต้น แม้แต่ House ,Wacking BeBop แม้แต่การเต้น Trap ก็เป็นพื้นฐานของวัฒนธรรมการเต้นนี้ ดังนั้นคุณควรทำความเข้าใจกับมันให้กว้างกว่าที่คุณเห็นภาพใน MTV ยิ่งถ้าเราดูดนตรี Hip-Hop สมัยนี้กลายเป็นดนตรี Trace เป็น Dubstep กลายเป็นอะไรไปหมดแล้ว จนคนไม่เห็นภาพจริงๆของ Hip-Hop แล้ว กลายเป็น
ผู้หญิงออกมาเต้น Booty shake (สาวๆออกมาเต้นส่ายก้น) ออกมาสลับขาแบบ Shuffling
บิดเบือนของแท้ที่มันควรจะเป็น บิดเบือนความเข้าใจของนักเต้นสมัยใหม่ให้ออกห่างจากความ
เป็นจริงไปทุกที จนทำให้รูปแบบ Style การเต้นอื่นๆดูเป็น Oldschool (แบบเก่า) ไปหมด ซึ่งจริงๆ
มันไม่ใช่ เพราะการเต้น Hip-Hop ของแท้มันมีการพัฒนาเทคนิคอยู่ตลอดเวลาและดีขึ้นเรื่อยๆด้วย
ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่ได้ยินชื่อของ การเต้นหลายๆ แนวทั้ง B-boy ,Popping ,Locking ,House
ฯลฯ หรอกครับ เพราะมันยังอยู่และมันไม่ได้เก่าเลยแต่นับวันยิ่งพัฒนาไปมากขึ้น !



James Brown

                                                          KRS ONE

                                                       SugarHill Gang



                                                 A Tribe Called Quest



                                                    Earth, Wind & Fire


                                                         
                                                KC & The Sunshine Band



                                   Michael Viner's Incredible Bongo Band


ผมแค่จะบอกว่าทุก style ที่คุณรู้จักมันคือ Hip-Hop มันมาจากวัฒนธรรม Hip-Hop เราจึงใช้
หลายๆคำที่เป็น Hip-Hop มันคือวัฒนธรรม ไม่ใช่การเต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง มันคือประวัติศาสตร์มันคือผู้คนที่ร่วมกันสร้างสรรค์รูปแบบการเต้นหลายๆแบบขึ้นมา การที่คุณเต้น Freestyle เป็น รู้ประวัติศาสตร์ รู้จัก James Brown , Sugarhill gang รู้จัก Incredible Bongo band  รู้จัก KC & Sunshine bang ,Earth Wind Fire , A tribe called quest ,KRS one  เป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่เต้น Hip-Hop ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด การที่คุณเต้นกับเพลงเหล่านี้ได้นั่นก็แสดงได้ถึงความรู้เกี่ยวกับการเต้นของคุณด้วยนั่นแหละ เพราะนั่นเท่ากับว่าคุณรู้จักคำว่า Hip-Hop จริงๆ


ความรู้คือพลัง !


PEACE ~
 
 


อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เชื่อมั้ยว่าโลกกำลังเปลี่ยน ?

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันนี้จู่ๆก็นึกเป็นห่วงเป็นใยหลายๆท่านขึ้นมา เพราะสถานะการณ์
โลกที่มันเปลี่ยนไป ทั้งสงคราม จลาจลที่มากขึ้นในหลายประเทศ ภัยพิบัติ ทรัพยากรณ์โลกที่
น้อยลงมาก ความสมดุลย์โลกศูนย์เสียไปเยอะ ภาวะเศรษฐกิจที่แย่ลง ของประเทศมหาอำนาจ
พร้อมที่จะทำให้เกิดภาวะสงครามได้ตลอดเวลา ฟังดูน่ากลัวใช่มั้ยครับ แต่ผมมองว่ามันเป็นไปได้
แต่ก็ไม่อยากให้ท่านๆตื่นตระหนกตกใจ แต่อยากมาเตือนกันให้พร้อมรับสถานะการณ์ดีกว่าครับ







เรามาสมมุติกันเล่นๆดีกว่าว่าถ้าโลกของเราเกิดภาวะ อะไรขึ้นซักอย่างเราจะอยู่กันอย่างไร ? 



คนเมืองอย่างเราๆจะทำอะไรได้บ้าง เมื่อสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น แน่นอนครับโกลาหลแน่ๆ 
ทุกคนวิ่งเข้าเซเว่น เข้าห้างซื้อของตุลจนบ้าครั้ง มาม่าหมด น้ำเปล่าหมด ข้าวสารหมด 
ตลาดก็ไม่มีอะไรขาย (เพราะเขาก็ต้องเอาตัวรอดใครจะเอาออกมาขายล่ะครับ) วุ่นวาย
แน่ๆ ของอย่างสุดท้ายในชั้นมีทะเลาะกันแย่งกัน อาจถึงกับต้อง ฆ่าแกงกัน รัฐบาลก็จะได้
แต่พูดว่าขอให้ทุกท่านอยู่ในความสงบเราได้ควบคุมสถานะการณ์ไว้ได้แล้ว ทั้งๆที่เราก็รู้
ว่าไม่มีใครควบคุมเรื่องพวกนี้ได้ (เอาแค่เลิกตีกันแล้วอยู่อย่างสงบยังยากเลย) คนที่ทำงาน
บริษัทต้องหยุดงาน เพราะไม่มีอะไรทำงานได้ ไม่มีงานให้ทำ เงินที่มีอยู่ในกระเป๋าซื้ออะไร
ไม่ได้ กลายเป็นกระดาษใบหนึ่ง บัตรเครดิตใช้ไม่ได้ ธนาคารปิด สนามบินปิด ไม่มีเครื่อง
ขึ้นลงเพราะอันตรายเกินไปที่จะเอาเครื่องขึ้น เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานไม่ได้ น้ำไม่ไหล 
ไม่มีไฟฟ้าใช้ ตกกลางคืนมึดไม่มีไฟ ต้องคอยระวังคนไม่ดีที่อยู่ในสังคมเวลาออกไปข้างนอก
หรือแม้แต่อยู่ในบ้าน เพราะภาวะแบบนี้มีแต่คนบ้า คนหิวโหย ทำได้ทุกอย่างเพื่ออยู่รอด 
คุณต้องป้องกันตัวเองไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม อาหารที่ร่อยหรอทำให้คุณเครียด มีภาวะความเครียดมากขึ้น ใครทำไม่ได้ก็จะเริ่มสติแตก หรือ บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย ใครที่มีรถยนต์อาจจะออกไปต่างจังหวัดเพื่อหาแหล่งอาหารหรือความช่วยเหลืออื่นๆ ต้องขับรถอย่างระมัดระวัง ทั้งโจร ทั้งน้ำมันที่พร้อมจะหมด ไฟฟ้าที่ใช้ไม่ได้ก็ทำให้ หลายๆอย่างในปั๊มไม่วิ่ง อาจจะเติมน้ำมันไม่ได้ก็ได้ ทหารอาจจะช่วยคุณได้ แต่ยังไงซะคุณก็พึ่งเขาตลอดไม่ได้เช่นกันเพราะคนที่เป็นแบบคุณไม่ได้มีคุณคนเดียวแต่มีเป็นล้านๆ คราวนี้เราจะทำยังไง ทำอะไรไม่เป็นหนีไปไหนไม่ได้ ทุกอย่างดูมืดมน ชีวิตไม่ได้เหมือนฝันอีกต่อไป .. 




 กลับมาที่ปัจจุบันดีใจจังที่ผมยังได้เขียน Blog ให้คุณอ่านอยู่ตรงนี้ :)


เราจะเตรียมตัวยังไงถ้าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ? 

อันดับแรกที่เราต้องทำคือ หัดปลูกฝักสวนครัวกินเอง บางคนอยู่อพาร์ทเม้นท์ บอกว่่าตัวเอง
ปลูกไม่ได้หรอกไม่มีเวลา ไม่มีเนื้อที่ เราจริงๆเดี๋ยวนี้มีโครงการผักลอยฟ้า สวนผักคนเมือง 
เยอะแยะมากมีการ workshop ด้วย ว่าต้องปลูกยังไง การหัดเรื่องพวกนี้ไว้ไม่ใช่เรื่องเสีย
หาย เพราะอย่างน้อยเราก็ปลูกผักเป็น นั่นแปลว่าถ้าเราย้ายไปอยู่นอกเมืองเราก็พอจะทำ
เป็นบ้าง สร้างอาหารได้เองแน่ๆ ไม่ต้องกลัวอดตายเมื่อภาวะนั้นมาถึง เราสามารถปรับตัว
ได้ทันที อันดับที่สองคือ การหัดทำอาหาร การทำกับข้าวเป็นจะทำให้คุณรอดตาย อันดับ
ต่อไปคือ คุณต้องหัดพื้นฐานเรื่องของการดำรงชีวิตในป่า หัดอ่านหัดหาความรู้ไว้บ้าง
 เมื่อถึงเวลานั้นคุณจะอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกโดยมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นๆ อันดับต่อไปคือ 
การฝึกสมาธิไว้บ้าง ไม่ว่าจะเดินจงกรม หรือ นั่งสมาธิ หัดทำให้เป็น เจริญสติให้เป็น 
จริงๆผมว่าข้อนี้ควรจะเป็นข้อแรกเลยด้วยซ้ำ เพราะถ้าถึงเวลานั้นทุกคนจะไม่มีสติเป็น
อันดับแรก คุณจะเป็นคนเดียวที่ยังมีสติ และ คิดหาทางออกได้ว่าจะทำอะไรต่อไป 
โดยไม่แตกตื่น เป็นบ้าตามสถานะการณ์นั้น







การเตรียมตัวไว้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ต้องถึงกับเป็นบ้าหวาดระแวง แต่เราควรศึกษาสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างน้อยเวลามันมีอะไรเกิดขึ้นจะได้ช่วยตัวเองได้เป็นอันดัีบแรก สามารถเอาตัวรอดได้ในสภาวะที่ยากลำบาก แม้ว่ามันจะแย่แค่ไหน เราก็ยังสามารถอยู่ได้ ถึงแม้โลกจะต้องกลับมาเริ่มใหม่ทั้งหมดมันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าจะตาย กลับดีด้วยซ้ำมันทำให้เราที่เหลืออยู่รู้ว่าควรจะทำอะไรในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้อย่างถูกต้อง อยู่กันอย่างไม่เห็นแก่ตัว แบ่งปัน ไม่มองกันที่ภายนอกอย่างเดียว รักโลก รักต้นไม้ รักธรรมชาติมากขึ้น ใช้ชีวิตอย่างที่เราควรจะเป็นเยี่ยงสัตว์ชนิดหนึ่งบนโลกใบนี้ ซึ่งทำให้เราสมควรใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะ
ของมนุษยชาติ !




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Each 1 Teach 1

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทั้งหลาย วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องโครงการของผมเอง ซึ่งได้รับแรงบรรดาลใจ
มาจากการอ่านบทความของ Mr.Wiggles (Rock Steady crew/ NYC) เขาเป็นรุ่นบุกเบิก การเต้น
Hip-Hop ในยุค 80's ให้ B-boy ,Popping และ Locking เป็นที่นิยมในอเมริกา และทั่วโลก เอาล่ะ
ครับเพื่อไม่ให้เป็นการเีสียเวลาผมจะเริ่มเลยแล้วกัน ..



การเต้น Breakdance (เป็นชื่อที่สื่อในสมัยนั้นใช้่เรียก B-boy ,Popping และ Locking) เริ่มต้นมา
จากเด็กๆในย่าน Bronx ในเมือง New Yorks ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงปี 70-80's เมืองได้มี
ผู้อภยพและผู้แสวงหาความฝันมาอาศัยอยู่ในอเมริกาเป็นจำนวนมาก ย่านนี้เป็นย่านของพลเมือง
ชั้น 2 คน แอฟริกัน ,เปอร์โตริกัน ,แมคซีกัน ฯลฯ ยังไม่เจริญมากนัก มีปัญหาสังคมเกิดขึ้นมากมาย
ทั้งปล้นจี้ วิ่งราว โสเภณี ค้ายา รวมไปถึงแก็งกวนเมืองต่างๆ เป็นสังคมที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน
ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในวันข้างหน้า แต่แล้วก็มีเด็กกลุ่มหนึ่งเกิดคิดสนุกเริ่มสร้างสรรค์
การเต้นขึ้นมาโดย ได้รับแรงบรรดาลใจมาจาก หลายๆอย่างทั้ง หนังกังฟู ยิมนาสติก หรือแม้แต่ท่า
เต้นของชนพื้นเมืองอเมริกัน (อินเดียแดง) การเต้น Salsa และ กลุ่มแก็งที่สร้าง style การเต้นที่
เรียกว่า Rocking เด็กๆเหล่านั้นได้เลียนแบบท่าทางต่างๆจนคิดค้นให้กลายเป็นรูปแบบการเต้นของ
ตัวเองหลังจากนั้นพวกเขาก็ยุ่งอยู่กับสิ่งที่เข้าเรียกว่าการเต้น B-boy (ผู้หญิงก็เรียกว่า B-girl)



                                              

                           ภาพจากหนังสืิอของ Martha Cooper ‘Hip Hop Files’




กิจกรรมนี้ทำให้เขาออกห่างจากการเป็น แก๊งกวนเมือง เป็นเด็กส่งยา หรือเป็นโสเภณี ด้วยการเต้น
นี้ทำให้พวกเขาได้พิสูจน์ตัวเอง ในฐานะของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ทำสิ่งที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์
โดยไม่ต้องอาศัยหน่วยงานใดใดเข้ามาแก้ปัญหาสังคมเลย ในขณะเดียวกันนั้นก็มีการรวมของวัยรุ่น
ที่ทำกิจกรรมร่วมกัน คือ MC (Rapper) , DJ และ Graffiti writer รวมเป็นหนึ่งเดียวซึ่งเรียกตัวเองว่า
 " Hip-Hop " คำๆนี้ไม่ใช่แนวดนตรีมันคือรูปแบบของสังคมที่มาร่วมกันทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์
ด้วยกันให้สังคมนั้นน่าอยู่มากขึ้น ทำให้คนไม่ติดยา ไม่ส่งยา วัยรุ่นไม่ตีกันแต่เปลี่ยนมา Battle กัน
ด้วยความสามารถของตัวเอง และทำให้ทุกคนสังคมนั้นมีที่อยู่มากขึ้น ..



                          ภาพจากหนังสืิอของ Martha Cooper ‘Hip Hop Files’




 เกริ่นมาเยอะแล้วแล้วมันเกี่ยวยังไงกับโครงการ Each 1 Teach 1 โครงการนี้คือการคืนกำไรให้
สังคม เป็นโครงการที่ต้องการให้คนไม่มีเงินเรียนเต้น หรือคนที่อยู่้ไกลๆไม่สามารถเข้ามาหาความรู้
เองในเมือง ได้เรียนรู้จากความรู้จริงๆเพื่อที่จะได้ไปสอนคนอื่นๆต่อ เป็นความรู้ฟรีๆที่เราสามารถ
แบ่งปันได้เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง และ ทำให้กลุ่มนักเต้นทีมีมากขึ้นมีความแข็งแกร่งในด้าน
ความคิดด้วยว่าง่ายๆ ไม่ใช่เอาแต่จำนวนเพิ่มอย่างเดียว จำนวนต้องเพิ่มไปกับคุณภาพด้วย 
แต่โครงการนี้จะขอจัดขึ้นในสถานศึกษา ครับเพื่อสนับสนุนกลุ่มนักเต้นที่ซ้อมเต้นกันอยู่ใน
สถานศึกษาต่างๆทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เพราะถ้าทุกคนมีความรู้แล้วอะไรๆในบ้านเมือง
เราก็จะพัฒนาไม่ยาก เป็นโครงการฟรีแบบเข้าไป Workshop ให้ 2-3 ชั่วโมง สอนทุกอย่างที่
ทุกคนอยากรู้ แต่จะมีกล่องบริจาคถือไปด้วยโดยให้คนที่เข้าร่วม Workshop หยอดได้ตามจิตศรัทธา
แล้วเราจะเอาเงินนี้ไปทำบุญ หรือบริจาคครับ






จุดประสงค์ คือ การจุดประกายนักเต้น B-boy,B-girl หรือผู้ที่สนใจเกี่ยวกับการเต้นชนิดนี้ให้สามารถมีความคิดที่จะเอาความรู้เหล่านี้ไปสอนต่อ ตาม concept ของโครงการ คือ 
Each 1 Teach 1 (1 คน สอน 1 คน) เป็นแรงบรรดาลใจให้คุณทำิ่สิ่งที่คุณทำต่อไป เป็น
แรงบรรดาลใจให้คุณเริ่มทำมัน สร้างความคิดดีๆ เพื่อสอนคนอื่นๆ รุ่นน้องรุ่นพี่ ให้เข้ามาใส่ใจกับสังคมมากขึ้น หันมาช่วยเหลือกันมากขึ้น ทำอะไรที่มีคุณค่ามากกว่าการหาเงินเพียงอย่าง
เดียว เมื่อมีความเข้าใจ ใครก็มาหลอกคุณไม่ได้ สามารถเอาความรู้ไปพัฒนาต่อให้เกิดเป็น 
style ของตัวเองและ เป็นที่ยอมรับของตัวเองและในสังคม และในขณะเดียวกันทุกคนก็ได้
ทำบุญไปพร้อมๆกันด้วยครับ  



คิดโครงการนี้เพราะผมรู้สึกว่าผมต้องให้อะไรกับเด็กบ้างเพราะตอนผมเต้นแรกๆไม่มีใครสอนมีรุ่น
พี่ไม่กี่คนที่บอก และความรู้จริงๆก็หายากกว่านี้มากไม่มี internet ไม่มี youtube ไม่มีอะไรให้ดู
ต้องอ่านบทความภาษาอังกฤษ แล้วแปลเอา หรือดูรุ่นพี่เอา ดังนั้นผมเข้าใจพวกคุณผมเลยอยากทำ
อยากให้คุณได้กำลังใจและความรู้ที่ไม่รู้จากคนที่เคยทำมาก่อนแล้ว ผมอยากให้คุณยิ้มได้ไม่ต้อง
งงๆหา clip หา เพลง หาความรู้แบบยากลำบาก อยากให้อะไรที่คุณทำมันง่ายขึ้นอีกหน่อยก็ยังดี


ผมรักการเต้นชนิดนี้มากพอๆกับชีวิตของผม และ ความฝันของผมก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมตั้งแต่เริ่มเต้นแรกๆคือ อยากให้มีคนเต้นเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ผมจะได้มีเพื่อนเต้น และอีกอย่างคืออยากให้ทุกคนเก่งกันมากๆ ผมจะได้เต้นกับคุณได้สนุกมากขึ้น และ เราจะเข้าใจกันมาก
ขึ้น :) 


ยังไงก็ถ้าน้องๆคนไหนสนใจก็เข้ามาลงชื่อในนี้ได้ครับที่ 

https://www.facebook.com/events/509572962386874/  


ปล ; กฏกติกาอยู่ข้างในนะครับลองอ่านก่อนแล้วค่อย Post เน่อ แล้วเจอกันครับ ;)





อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2555

จังหวะที่อยู่ภายใน

สวัสดีครับท่านผู้อ่านพบกันอีกครั้ง เวลานี้ก็เข้าวันศุกร์แล้ว หวังว่าทุกท่านะจะสุขใจตามที่
วันเป็นกันนะครับ น้องๆหลายคนก็ปิดเทอมแล้วก็ คงได้ใช้เวลานี้ทำอะไรที่ตัวเองชอบ อาจจะ
ซ้อมเต้น แข่งเต้น ทำงาน หรือ เรียนอะไรที่ตัวเองชอบได้ซะที




วันนี้จะขอพูดถึงเรื่องของการเต้นกันบ้าง ศิลปะการเต้นเป็นศิลปะที่มีความอิสระอยู่ในตัวของมันเอง
บางครั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับจังหวะเพลงเสมอไป ขึ้นอยู่กับตัวผู้เต้นด้วยว่าต้องการจะสื่อสารด้วยร่างกาย
ออกมาอย่างไร โดยมีอารมณ์ที่ต่อเนื่องจนสามารถพาคนดูไปถึงสิ่งที่ตนต้องการจะสื่อสารได้นั่นเอง



นักเต้นที่มีทักษะพื้นฐานที่ดีและเริ่มเข้าใจในรูปแบบการเคลื่อนไหวของตัวเองแล้ว (style) จะเริ่มมีการ
พัฒนาทักษะอื่นๆที่นอกเหนือไปจากคำว่า "เทคนิค" (ความยากของท่า) แต่จะเริ่มหันไปพัฒนารูปแบบการเคลื่อนไหวที่เป็นของตัวเองแทน จนกระทั่งมี เทคนิค ใน style นั้นมาเพิ่มเป็นของแถม แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือการพัฒนาจังหวะที่อยู่ภายในตัวเองโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับเสียงเพลงอย่างเดียว ..



สิ่งที่ผมเขียนบางทีอาจจะดูงงนิดนึุง เพราะเราจะคิดว่าถ้าคนเต้นไม่ฟังเพลงแล้วจะเป็นการเต้นได้ยังไง ? การเต้นสื่อสารออกมาจากการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพลงเป็นแค่ตัวกระตุ้นอารมณ์ให้เกิดการ
เคลื่อนไหวเหล่านั้น บางครั้งไม่จำเป็นต้องตรงกับจังหวะดนตรีตลอดเวลาก็ได้ การเต้นให้ตรง เก็บ
จังหวะอยู่ตลอดเป็นเรื่องน่าเบื่อ คุณจะเป็นผู้ที่ถูกเสียงดนตรีจูงจมูกอยู่ตลอดเวลา ขาดอิสระในการ
เคลื่อนไหวเสมือนอยู่ในกรงขังที่มีทางเดินให้คุณเดินตามแต่ออกไปไหนไม่ได้ ถูกหลอกอยู่ในเขาวงกตนั้น ดังนั้นการที่เราออกมาจากกรอบของเพลงบ้างเป็นเรื่องที่ควรจะทำ เพราะคุณจะไม่ได้วิ่งตามดนตรีแต่คุณจะ เล่นกับเสียงดนตรี ที่แน่ๆเล่นได้กับทุกเสียงในจังหวะดนตรีเลยก็ว่าได้ เล่นกับเนื้อร้อง กีต้าร์ เบส เปียร์โน ทรัมเป็ต เป็นต้น ความสนุกจะมีมากขึ้น แม้แต่การออกแบบท่าเต้นก็จะมีความหลากหลายมากกว่าที่เป็นอยู่ สามารถปลดปล่อยความเป็นตัวของเราออกมาได้กว่าเดิม ไม่รู้สึกจำเจแม้จะเคยเต้นกับเพลงแบบเดิมๆ การรอจังหวะเพลงมันก็เหมือนเราเป็นปลาคอยเบ็ดยังไงอย่างงั้นเลย




เมื่อเราออกจากกรอบเดิมๆได้เราจะสามารถเต้นได้เป็นอิสระ จะเป็นผู้นำแทนผู้ตาม คาดเดาไม่ได้
ไม่ดูราบเรียบเวลาเต้น สนุกกับสิ่งที่ตัวเองทำมากขึ้น ในขณะนั้นเองเราจะสามารถพาคนที่ดูการเต้น
ของเราไปที่ไหนก็ได้ตามที่เราต้องการ ให้เขารู้สึกงง หรือ ประหลาดใจก็ได้ ปล่อยจินตนาการได้
อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวพลาด ไม่ต้องมานั่งรอเพลง หรือ กังวลกับท่าเต้นจนประสาท ให้หูมันทำงาน
ของมันไปอย่างอัตโนมัติ แล้วให้ร่างกายติดตามอารมณ์นั้นไป โดยมีความคิดเข้าไปเจียระไนอยู่เป็น
พักๆ การทำแบบนี้ผมเรียกมันว่า "การร่ายเวทย์มนต์" มันสามารถพลิกความคับขัน กลายเป็นเพชรได้ในเวลาปัจจุบันทันด่วน ไม่ได้อยู่กับอนาคตหรืออดีต แต่อยู่กับเราที่นี่เวลานี้ตรงนี้แบบทันที !





ท่านทั้งหลายอย่าได้กลัวที่จะเต้นผิดจังหวะหรือทำการมั่ว เพราะการมั่วคือยาวิเศษ มันเป็นหายนะ
ที่สร้างสรรค์ ด้วยความผิดพลาดพวกนั้นเราจะสามารถผลิตหลอดไฟแห่งปัญญาไ้ด้สว่างทันที 
เพราะเราไม่กลัวความผิดพลาด เราไม่ได้คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต จะคิดแค่อย่างเดียวคือทำตอนนี้ แก้เดี๋ยวนี้ ต่อเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนเดี๋ยวนี้ ทำทุกอย่างตอนนี้เลย ไม่มีคำว่าสาย ไม่มีคำว่าพลาดมีแต่คำว่าไหลลื่น อารมณ์เป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย ไม่มีอะไรมาแทรกตรงกลาง ใช้พลังแฝงที่ตัวเองมีได้ แรกๆเราอาจจะรู้ึสึกว่ามันบ้าๆดูไม่สวยงาม บางครั้งความสวยงามของท่ามันไม่ได้อยู่ที่การมองของเราเสมอไป เพราะท่าบางท่าแม้มันจะไม่สวยแต่มันเป็นรูปแบบของการเคลื่อนไหวของเรา ถ้า
เราไม่ชอบมันเราอาจจะใช้ความคิดของเรา ตัดแต่งมันบ้างแต่ทว่ามันไม่สามารถตัดแต่งให้ได้เหมือน
ที่เราต้องการตามวีดีโอการเต้นที่เราดูมา รูปแบบอาจจะใช่แต่อารมณ์การเต้นก็ไม่ใช่อยู่ดี ฉนั้นอย่า
ไปคิดมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ มันเป็นธรรมชาติของมันแบบนั้นเอง ความพิเศษของเราอยู่ที่ตรงนั้น
แหละแต่แค่เราจะพัฒนาสิ่งนั้นให้มันสูงขึ้นได้ยังไง ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเรา



เมื่อเราเริ่มพอใจในรูปแบบที่เรามีแล้วการทำให้มันเติบโตก็ไม่ใช่เรื่องยากเพราะเรามีจุดหมาย
ปลายทางเดียวคือพัฒนามัน ตัวเราจะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องพัฒนามันยังไง การทำซ้ำแม้มันจะน่าเบื่อและเหมือนไม่ได้ให้คำตอบแต่มันก็ตอบเราได้ในตัวของมันเอง และเราก็จะรู้ได้เองเมื่อมันบอกให้
เราไปทำอย่างอื่น พัฒนาอย่างอื่นเพื่อมาประกอบกับของเดิม ด้วยประสบการณ์ของเรามันจะบอก
ว่าเราต้องทำอะไรต่อ อะไรมาจุดประกาย เราระหว่างนั้น แล้วต้องใช้อะไร ฝึกอะไรเพิ่ม คิดอย่างเดียว
มันอาจจะไม่พอ ต้องอาศัยการทำจนมันรู้สึกชำนาญ มันก็จะรู้จักการแก้ปัญหาและมีความคล่องตัว ที่
คิดหาทางออกได้ทันท่วงที ส่งผลให้เรามีความมั่นใจ และ จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น






เมื่อเราทำลายกำแพงเรื่องเสียงดนตรีได้ พัฒนาการเคลื่อนไหวของร่างกายในแบบของเราได้
สิ่งที่เหลือก็คือ การทำตามใจตัวเอง อยากใส่อะไรลงไปก็ย่อมได้ เพราะเราไม่กลัว เราไม่อาย 
มีแต่คิดแค่ว่าวันนี้เราจะเล่นอะไรให้มันสนุกดี เพลงที่เราฟังถึงแม้มันจะห่วยเลวร้าย เราไม่ชอบ
ยังไงถ้าเรามีอารมณ์อยู่กับตัวเองมากพอเราก็สามารถที่จะขยับร่างกายผ่านจังหวะของเราเองได้ ..




อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทลายกำแพงดูสิ !

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้อยากจะมาเขียนอะไรเล่นๆไปเรื่อยเปื่อยบ้าง
เพราะช่วงนี้ผมกลายเป็นไกด์ทัวร์สำหรับเพื่อนชาวต่างประเทศไปซะแล้ว เป็น
ส่วนประกอบที่ทำให้เขาเข้ามาทำอะไรสนุกๆในประเทศผมง่ายขึ้น 555 เหนื่อย
แต่ก็สนุกดีครับเพื่อนผมน่ารักทุกคน



ประเทศไทย 

เป็นประเทศที่มีเอกราชไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ถูกแบ่งส่วนไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้ชาติเรา
ตกเป็นของเขาใคร มีวัฒนธรรมและภาษาที่ชัดเจน ผู้คนมีอัธยาศัยดีมีน้ำใจ แม้ประเทศเรา
จะเป็นชาติขี้อายแต่ก็ยังแฝงความน่ารักไว้อยู่ ด้วยความเป็นกันเองของเรานี่เองทำให้ชาวต่างชาติ
ชอบมาบ้านเมืองของเรา อาหารก็อร่อย สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติก็มีมากมาย ค่าครองชีพก็ไม่สูง
ที่นี่คือสวรรค์ของใครหลายๆคนเลยก็ว่าได้ คนไทยเราบางครั้งรักชาวต่างชาติมากกว่าคนชาติเดียว
กันซะิอีก เพราะเห็นฝรั่งทีไรแล้วทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะคุยอะไรทั้งๆที่บางทีก็พอพูดได้ บางท่านก็
ดูแลฝรั่งเยี่ยงเทพ (เหมือนผมไง 555) จนเขาเข้าใจว่าคนไทยน่ารักมากเพราะใจมันถึงใจ




ชาวต่างประเทศ  

คนหลายสัญชาติเข้ามาเที่ยวมาอยู่ในบ้านเราก็มีมากมาย ทั้งที่มา เที่ยวเฉยๆ มาเรียนหนังสือ
มาทำมาหากิน คนต่างชาตินี่มีหลายรูปแบบมีทั้งแบบที่มีเงินเยอะมาเที่ยวหรูๆ มีเงินน้อย backpack
ค่ำไหนนอนนั่นกินอยู่กับกระเป๋าเดินทาง เที่ยวไปเรื่อยๆแบบผจญภัยในเมืองไทย ไหนยังจะมีคนที่
ต้องมาทำงานเพราะที่ประเทศตัวเองลำบากก็เลยย้ายมาทำที่นี่ หรือ บางคนก็มาทำงานที่นี่เพราะ
ชอบเมืองไทย เพราะความชิวมีอะไีรให้กิน 24 ชั่วโมง ทำอะไรก็ได้สบายใจ ไอ้ความสบายใจ
ทำอะไรก็ได้นี่ ถ้าบางคนมาเที่ยวแล้วคิดว่าประเทศเขาทำแบบนี้ไม่ได้แต่มาประเทศเราทำได้อันนี้
ก็ไม่ไหวครับ เพราะจะเอาซะเต็มที่เกินไป เพราะจะชาติไหนก็เป็นคนเหมือนกัน แม้เข้าจะมาจาก
ประเทศที่เจริญในด้านเศรษฐกิจและัสังคม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเจริญในด้านจิตใจ
นะครับ บางครั้งอะไรๆก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้ ขึ้นอยู่กับบุคคลเหล่านั้นว่าเขาเป็นยังไง
รูปลักษณ์ หรือ ประเทศ ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคนๆนี้ดีชั่วยังไง




ทัวร์ริสกาย (Tourist guy) 

คนที่พาคนต่างประเทศมาท่องเที่ยวในสถานที่ต่่างๆทั้งได้เงินก็ดี และไม่ได้เงินก็ดี (ผมไม่ได้เงิน555)
บางครั้งถูกว่าจ้างให้พาไปตามสถานที่ท่ิองเที่ยวต่างๆโดยทั่วไปถ้าถูกว่าจ้างจะเป็นเรื่องเ้ป็นราวมาก
แต่ถ้าคุณเป็น แบบที่สองคือถูกเพื่อนว่าจ้างมันจะัเป็นอีกแบบคือ คุณจะเป็นทัวร์ริสแบบไลฟ์สไตล์
มากกว่าลากเ้พื่อนไปเที่ยวเยี่ยงนักท่ิองเที่ยว เงินก็ไม่ได้ แค่มันเลี้ยงข้าว จ่ายค่ารถ เราก็สุขใจแล้ว :)
"ตัวริส" จะเป็นคนที่พาเพื่อนไปชมว่า ชีวิตฉันทำอะไรบ้าง ในบ้านฉันเป็นยังไง ว่าง่ายๆคือพาชมสังคม
ของตัวเอง และเมื่อเพื่อนถามถึงสถานที่ท่องเที่ยว ตัวริส มักจะมึนงง และไม่รู้จะพาเพื่อนไปยังไง
และจะบอกเพื่อนว่า รอแป๊ปขอหาข้อมูลก่อน เพราะุ่ถ้าคุณเป็นคนไทยคงไม่เคยเที่ยวอะไรที่เพื่อน
ชาวต่างประเทศเที่ยวแน่ๆ เช่นพิพิธพัณฑ์ หรือ สถานที่ๆโชว์ความเป็นไทยมากๆ อะไรแบบนั้น เต็มที่
ความสามารถของคุณคือ พาไป ตรอกข้าวสาร วัดพระแก้้ว ตลาดน้ำ สยาม และอาจจะจบลงที่ RCA
อะไรประมาณนั้น นี่แหละคือชีวิตของ "ตัวริส" อย่างเรา




ความแตกต่างบางครั้งทำให้ผมเห้นบางอย่างที่คนไทยด้วยกันไม่เห็นคือ "หัวใจ" บางครั้งการที่เรามีสีผิว สีผม ตา ภาษา ที่แตกต่างกันก็ทำให้เ้ราเห็นข้างในของคนๆนั้นได้ชัดขึ้นเพราะ เมื่อเราเริ่มคุยกันก็จะไม่ได้ัสัมผัสในเรื่องความแตกต่างแล้ว เพราะมันจะเป็นเรื่องของความคิดความเข้าใจกันล้วนๆ ในขณะเดียวกันที่ คนที่สีผิว ผม ตา ภาษา เหมือนกันกลับไม่ค่อยคุยกันเพราะ คิดเอาเองว่าคนนั้นคิดกับตัวเองแบบนั้นแบบนี้ ก็เลยไม่ได้คุยกันเพราะคิดเอาเองว่าตัวเองรู้แล้วว่าเขาคิดอะไร คราวนี้มันก็ เลยเห็นหัวใจกันยากเห็นได้แต่ ภายนอก แล้วก็เริ่มปกป้องตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆด้วยเงินทอง การแต่งตัว รสนิยม มาป้องกันตัวเองจากคนพวกเดียวกัน คนที่สามารถคุยกันได้จะต้องมีเกราะที่หนาพอๆกัน ไม่เ้ช่นนั้นก็จะไม่คุย เพราะกลัวเขามาวุ่นวายกับชีวิต กลัวคนมาว่าว่าตนเองต่ำต้อย ทั้งๆที่จริงๆของพวกนั้นกลับทำให้มนุษย์เรายิ่งออกห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ สร้างกำแพงความคิดความเกลียดชังให้หนาขึ้นเรื่อยๆโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว จริงๆถ้าคนเราสามารถคุยกันได้โดยไม่มีภาษาขวางกั้นอะไรๆคงจะเหมือน facebook คือจะวุ่นวายช่วงแรกๆ แต่พอใช้ไปเรื่อยจะเริ่มปรับตัวได้และรู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ พอไม่มีกำแพงแล้วที่นี้ความเข้าใจ ความคิดกันและกันก็จะมีมากขึ้น แล้วถ้าตัดทอนเรื่องศาสนาและวัฒนธรรมไปด้วยล่ะก็ทุกอย่างจะง่ายขึ้นกว่าเดิมเพราะเราจะเห็นค่ากันและกันมากขึ้นเพราะ มนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน หรือทำสงครามกัน เพราะคนเราต่างกันแค่บางสิ่ง
ที่เป็นกำแพงเมื่อทั้งคู่ำำไม่มีกำแพงแล้ว ก็จะมีแต่ประตูที่ทุกคนสามารถเปิดเข้าไปหากันได้ และพึ่งพากันได้อย่างจริงๆ ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ หรือการเมือง แต่เป็นเรื่องของความรักพวกเดียวกันล้วนๆ



อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !


Free Soul Studio 
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/

Jam On It Official Page 
https://www.facebook.com/JamOnItParty/

หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/



*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***

https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5


วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความคิดสร้าง

สวัสดีครับท่านผู้อ่านช่วงนี้ผมเข้าวัดบ่อยเป็นพิเศษ แต่ไปช่วงเย็นๆเพราะเขามีทำวัดสวดมนต์
แล้วก็ เดินจงกรม นั่งสมาธิ เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าไปทำได้ทุกวัน ผมก็ไปแจมกับเขามาด้วย
แรกๆไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากไปแล้วรู้สึกติดใจและมันทำให้อะไรๆหลายๆอย่างในชีวิตประจำวัน
ผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นด้วยวันนี้เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์หน่อยครับ


คนเราเกิดมาพร้อมกับความอยากที่ติดตัวมาตามสัญชาติญาณ หิว ง่วง คัน ขับถ่าย เหนื่อย
สิ่งเหล่านี้มาพร้อมเราแต่กำเนิด แต่เมื่อสมองของมนุษย์ได้พัฒนาสมองให้มีวิวัฒนาการ
ที่สูงขึ้นมาก็ เริ่มที่จะสร้างสิ่งต่างๆมาลดทอนอารมณ์เหล่านั้น ด้วยความคิดของตัวเอง
เริ่มจับกลุ่มกัน ทำสิ่งต่างๆให้เกิดขึ้น เริ่มเพาะปลูก สร้างบ้าน ฯลฯ จนกระทั่งความคิดเหล่านี้
ก่อตัวจนกลายมาเป็นสิ่งต่างๆ เป็นสังคมใหญ่ เป็นเมือง มีการใช้เงิน มีการนำทรัพยากรต่างๆ
มาใช้ เพื่อสนองร่างกาย จิตใจ และ ความคิด ของตนเอง




มนุษย์เราในยุคนี้เกิดมาก็ถูกสอนให้คิด ให้อ่าน ให้พูดตั้งแต่เล็กๆ เมื่อโตขึ้นก็ต้องไปเข้า
โรงเรียนเพื่อเรียนรู้ภาษาและการพูด รวมถึงการเข้าสังคมกับมนุษย์ด้วยกันตั้งแต่อนุบาล
คนเราสมัยนี้จึงไม่ชินกับการ "ไม่คิด" หรือการ "หยุดคิด" การทำแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
เพราะเราอยู่ล้อมรอบไปด้วยความคิดและทัศนะคติที่ พุ่งเข้าใส่เราอยู่ตลอดเวลา การหยุด
คิดคือ การหลับสนิท หรือ ไม่ก็ตายไปเลย ดังนั้นมันเลยไม่ง่ายที่เราจะมาทำสิ่งเหล่านี้




 การฝึกสติ คือการสอนให้เราฝึกหยุดคิด แต่ให้เรารู้สึกตามที่เป็นจริง ใช้สัญชาติญาณ
ตามจริง ไม่คิดต่อ ทำให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน และ ทำอะไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่การฝึกนั้นมันยากมากสำหรับผู้เริ่มต้น การจะให้คนเมืองคนหนึ่งมานั่งขัดสมาธิ หลับตา
แล้วนั่งดูลมหายใจนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคนเมืองนั้นสบาย จึงขาดความอดทน เพราะ
มีสิ่งที่เพรียบสำหรับการระบายอารมณ์อยู่แล้ว แต่เมื่อปัญหาก่อตัว คนเรามักจะไม่สามารถ
ความสุขมาทดแทนได้ทันที กลับกันคนเราต้องการ การระบายและความสงบ ตรงจุดนี้
นั่นแหละที่ว่าทำไมเวลาเราอกหัีกถึงชอบไปทะเล อยู่เงียบๆ เพราะเราต้องการความสงบ
และความเป็นธรรมชาติตามสัญชาติญาณกลับคืนมา




ความคิดสร้างทุกสิ่ง สร้างคำว่า "ต้นไม้" ทั้งที่จริงๆมันไม่จำเป็นต้องมีชื่อแต่เราก็สัมผัสมัน
ได้ตามจริงว่ามันคืออะไร แม้แต่ความคิดที่ว่าเราเสียใจ เราก็คิดขึ้นเอง จากสิ่งที่เราเอามา
ผสมกันจนเป็นความคิดทั้งๆที่ ความทุกข์เหล่านี้ไม่ได้ควรที่จะเกิดขึ้นกับจิตใจเรา ไม่มีใคร
ตาย แค่คนรักจากไป แค่ความไม่คุ้นเคยเยือนเข้ามาในชีวิตทำให้ชีวิตรู้สึกไม่ปกติ เสียใจ
เป็นสิ่งที่เราคิดขึ้น แต่งเอาจากการหยิบเรื่องนั้น ผสมเรื่องนี้ เอาอดีตหลายๆฉากมาผสมจน
กลายเป็นละครที่เราเข้าไปเล่น แล้วเราก็คิดจริงๆว่าละครนั้นทำให้เราทุกข์จริงๆ การปรุงที่
แตกต่างของคนเราทำให้สุขและทุกข์ของแต่ละคนนั้นแตกต่างไปด้วย ..







บางครั้งการหยุดความคิดเป็น เป็นเรื่องที่สมควรฝึกเมื่อเราหยุดมันได้มองเห็นปัจจุบัน ตามจริง
ไม่มองอดีตหรืออนาคต ทุกข์มันก็เกิดยาก ความคิดไม่ปรุงก็เหมือนพริกที่ไม่ได้เด็ดมาใส่

กับข้าว สีมันจะแดงสวยอยู่บนต้นจนกระทั่งมันเหี่ยวไปตามวาระของมัน ไม่มีพริกเม็ดไหนที่
เป็นอมตะหรอก ยังไงมันก็ต้องเหี่ยวและร่วงลงไป เช่นเดียวกับความคิดที่ทำให้เกิดทุกข์
เช่นกัน 


หยุดคิดได้ = หยุดทุกข์ได้ 

  

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประวัติ Hip-Hop และ B-boy,B-girl

สวัสดีครับวันนี้ผมจะเอาของเก่าเก็บมาปล่อยให้ได้อ่านกันนะครับ เป็นเล่ม Thesis ตอนจบมหาลัย
ของผมเอง แต่เนื้อหา่วนนี้เป็นประวัติของ Hip-Hop และที่มาที่ไปนะครับใคร หลายส่วนแปลมาจาก
หลายที่ทั้ง Wikipedia และอื่นๆมากมาย ผิดพลาดประการใดขออภัย ณ ที่นี้ด้วยครับผม :)
 





ประวัติและต้นกำเนิดของ B-boy


The Original Hip-Hop 

การเต้นชนิดหนึ่งที่เป็น  element หนึ่งใน 4 ของ Hip-Hop ซึ่งได้แก่ MC , DJ , Graffiti และ B-boy กำเนิดจากชนท้องถิ่น American African และ Puerto Rican ใน South Bronx ของ New York city ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นปี 1970 ด้วยอิทธิพลของเพลง Funk และเพลง Soul   DJ Kool Herc เป็น DJ คนแรกที่เริ่มจัด Block party เป็นครั้ง เพื่อให้วัยรุ่นในสมัยนั้น เข้ามาร่วมเต้นรำกันใน party ของเขาและเขาเป็นคนแรกที่ริเริ่มการ mix และเล่นเพลงตัดต่อแบบสดๆอย่างต่อเนื่องจนเรียกกันว่าเป็นจังหวะ  “Breakbeat" ซึ่งสามารถทำให้ ผู้เต้นสามารถโชว์ทักษะที่มีต่อเพลง ออกมาจากท่าเต้นได้ด้วยการเต้นได้กลายเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา B-boy ในยุคแรกเริ่มการเต้น


B-boy Art Form

ในปี 1969 James Brown เป็นเจ้าพ่อเพลงแนว Funk เพลง Soul ได้จุดประกายให้วัยรุ่นในยุคนั้นเริ่มรู้จักการเต้นด้วยเพลง “ Get on the good foot "  เป็นเพลงแรกที่วัยรุ่นในยุคนั้นรู้จักและเริ่มลอกเลียนแบบท่าเต้นจาก James Brown ที่เรียกกันว่า Good foot (พื้นฐานการเต้นในยุคนั้นมาจากการเต้น Hustle) จนต่อมามีคนนำการเต้นชนิดนี้มาเต้นกับเพลง Breakbeat จึงได้ตั้งชื่อมันว่า B-boy  ชื่อนี้มีหลายความหมาย คือ Break boy ,Bronx boy, Boogie boy เป็นต้น  ในเวลาต่อมาก็เริ่มมีท่าที่ยึดถือว่าเป็น Original Toprock form เป็นท่าแรกของ B-boying เลยคือท่า "Indian step" ว่ากันว่านำมาจากการเต้นแบบ folk ของ Indian ซึ่งวัยรุ่นสมัยนั้นลอกเลียนแบบมาชาวอเมริกันพื้นเมืองหรืออินเดียนแดง ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มยังไม่มีการลง Footwork แต่อย่างใด ครั้งแรกที่มีการลงสู่พื้นเป็นพื้นฐานของมีแรบงบรรดาลใจมาจากการเต้นของนักเต้น Tap 3 คน ที่ชื่อ " Will Maston Trio หรือAKA.Piggy Wiggly Boogie" บางคนได้แรงบันดาลใจมาจากการเต้น Folk ของ Russia ต่อมาคือท่า Freezes ซึ่งท่านี้เป็นองค์ประกอบสุดท้ายของการเต้น B-boy เพราะหลังจากการเต้น ทุกคนต้องการท่าจบแต่ในสมัยนั้นยังไม่มีการลงไป Freezes แบบที่เห็นในปัจจุบัน เป็นเพียงท่าจบที่เท่ห์และให้ทุกคนในบริเวณนั้นจำเราได้ว่าเราเป็นใคร อย่างที่ "Nigger Twin" ได้กล่าวไว้ว่า "ในสมัยนั้นเราเต้น เราสนุกสนาน เราเท่ห์ เราลงไปบนฟลอร์ อย่างมีชั้นเชิงและไม่เคยลุกขึ้นมาแล้วเนื้อตัวสกปรกเลย" ต่างกับสมัยนี้อย่างสิ้นเชิง ต่อมาได้มีการพัฒนาท่าที่เรียกว่า  “ Powermoves ” เป็นท่าที่ ต้องใช้พลังในการขยับร่างกายสูงมาก เพราะท่าเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากท่ามากมากเช่น Kung-Fu , Capoeira ,Gymnastic และ กายกรรม เป็นต้น ท่า Powermoves เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้การเต้นนี้โดดเด่นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่การเต้น   ในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาท่าต่างๆให้ดูคล่องแคล่วและน่าสนใจมากขึ้นเพราะ B-boy คือความเป็นตัวของตัวเองซึ่ง B-boy ที่แท้จริงต้องการคือ Style ของตัวเอง (Original style)มีท่าเป้นของตัวเองซึ่งถ้ามีใครที่นำ ท่าที่บางคนคิดขึ้นแล้วนำไปลอกเลียนแบบ นั้นถือว่าเป็นการ copy หรือเรียกกันว่า “ Bite “ หัวใจของการเต้นชนิดนี้ไม่ใช่การ การลอกเลียนแบบ แต่มันคือการ copy เพื่อที่จะมา ดัดแปลงอย่างฉลาด เพื่อไม่ให้เหมือนใครและไม่ให้มีใครเหมือนตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเต้น B-boy เพราะทุกคนเต้นเหมือนกัน แค่จะทำอย่างไรให้คนที่ดูคุณจำคุณได้ เท่านั้นเอง โดยผ่าน 4 องค์ประกอบของการเต้นนี้คือ Toprock ,Footwork ( Floorwork , Downrock ),Freezes และ Powermoves



Battle culture

ต่อมาการเต้น B-boyเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นสู่กลุ่ม gang วัยรุ่นต่าง วัฒนธรรมการbattle ได้ถือกำเนิดขึ้น การ battle สามารถเกิดขึ้นได้หลายกรณี เพื่อให้อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นฝ่ายตรงข้ามรู้ว่ากลุ่มของตนเองเจ๋งกว่า อาจะเกิดขึ้นได้จากปัญหาเพียงแค่เหยียบเท้ากันก็ได้ คนแพ้ไม่สามารถที่จะมาเหยียบหรือเดินในถื่นของผู้ชนะได้เลย การเต้นชนิดนี้คือวิถีทางของการตัดสินปัญหาระหว่าง gang ในยุคนั้น บางครั้ง battle กันเพื่อต้องการการ Respect (ความเคารพ) ของอีกฝ่ายคล้ายๆกับกันเช็ครุ่นอะไรแบบนั้น แต่การ battle ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสามารถทำให้คนสามารถหยุดการทะเลาะวิวาทได้เพราะคนแพ้ย่อมไม่ชอบที่จะแพ้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม B-boy ทำให้สังคมใน  Bronx ,New York city ลดปัญหาเรื่องการทะเลาะวิวาทได้มากทีเดียว


First B-Boy Crews

B-boy crew (ทีม B-boy) ทีมแรกที่ที่เกิดขึ้น คือ "Zulu Kingz" ในปี 1969
Afrika Bambataa เจ้าพ่อแห่งวงการ Hip-Hop ซื่งเป็น Legendary DJ ที่มีคุณประโยชน์ต่อการเติบโตของ B-boy มาก โดย ออกเพลง "Looking for the perfect beat" ใน album "Soul Sonic Force" และเป็นหัวหน้าของ กลุ่ม Zulu nation อีกด้วย   Zulu kingz ชนะการแข่ง ขันมากมายเพื่อกลุ่ม  Zulu nation  Bambataa มองว่าการเต้น B-boy เป็นมากกว่าการเต้นเค้าเป็นความสำเร็จของมัน เค้าเห็นความสามารถของ B-boy และอยากเป็นแรงสนับสนุน เพื่อให้เหล่า B-boy คงอยู่รักษามันและ มีความเชื่อที่จะรักษาการเต้นนี้ให้ดำรงอยู่ เชื่อที่จะติดอยู่กับมัน เพราะสิ่งที่ดีมาจาก B-boy


Hip-Hop is Back

ในปี 1977 การกลับมาอีกครั้ง ของ B-boy ได้เริ่มขึ้นกับ กลุ่มใหม่ B-boy กลุ่มใหม่กำเนิดขึ้นคือ  Rocksteady crew แม้ว่าคนในยุคนั้นจะมองว่าพวกเขาเป็นเพียงแฟชั่นเก่าก็ตาม แต่ Afrika Bambataa ก็ได้ให้การสนับสนุนอีกครั้ง โดยให้  Rocksteady crew ได้ไปแสดง ใน Mudd Club, the Ritz และผับอื่นๆแม้แต่ Punk rock clubs รอบๆใน  New York เมื่อครั้งที่ Rocksteady crew แสดงให้กับ Malcom McLaren and Bow Wow Wowที่ The Ritz ผู้คนเริ่มสนใจ B-boy อย่างจริงจังและคิดว่า trend B-boy กลับมาแล้วปี 1981 มีภาพยนตร์ที่ชื่อว่า Wild style โดย Charles Ahearn โดยเนื้อหาจะเกี่ยวกับ วัฒนธรรม Hip-hopโดยโชว์ Rapping, Graffiti, scratching (DJing) และ B-boying โดยทุกอย่างจะคงความดิบและสดในย่าน Bronx และ Charles Ahearn ได้จ้าง Rocksteady crew มาเล่นในภาพยนตร์ของเขา ต่อมา Rocksteady crew ก็กลายเป็นที่รู้จักโด่งดังไปพร้อมกับ B-boy new style ก็เป็นที่โด่งดังในเวลาต่อมา B-boy new style ไม่เพียงแค่  Toprock ,Footwork และ Freezes ยังสามารถทำ Powermoves ได้อีกด้วย เช่น Headspin ,Handglide ,Backspin ,Windmill เป็นต้น   ฤดูใบไม้ผลิในปี 1982 The Roxy ที่เล่น skateได้ถูกสร้างขึ้น เป็นสถานที่เล่น skate ของนคร New york แต่ต่อมาความนิยมของการเล่น skate ได้ตกต่ำลงในเดือน มิถุนายน ปี1982 ต่อมา Pat Fuji เปลี่ยน the Roxy ให้กลายเป็น dance club ในทุกๆคืนวัน พฤหัส ,ศุกร์ และ เสาร์  The Roxy กลายมาเป็นจุดศุนย์กลางของ Hip-Hop อย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นสถานที่ๆ rappers, D.J.'s และ B-boys ชอบมาแสดงและผ่อนคลายกัน ถ้าคุณต้องการ B-boy B-girl สำหรับโชว์หรือวีดีโอของคุณคุณต้องมาหาที่ the Roxy หรือเพียงต้องการที่จะมาดูหรือเรียนรู้ท่าใหม่ๆก็ให้คุณมาที่ The Roxy นอกเหนือจากนั้น The Roxy ยังได้ sponsor งานแข่ง b-boy ต่างๆด้วยและช่วยให้ผู้ชนะได้เป็นที่รู้จักอีกด้วย เดือนมิถุนายน 1983 Pat Fuji ได้จ้างนักเต้น Jazz มืออาชีพ ชื่อ Rosanne Hoare เพื่อบริหาร Hip-Hop center แห่งนี้ซึ่งเป็นบ้านของ street culture คือ Breakdancing, rapping, DJing และ graffiti art เธอได้สร้าง บ้านเพื่อ support วัฒนธรรม Hip-Hop อย่างเป็นทางการ อย่างที่ศิลปะข้างถนนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอยังสร้าง Home for Breakdancers ที่ๆเหมือนบ้านที่ฝึกซ้อมเพียงเท่านั้นแต่เธอยังจะจัดหางานโชว์ ต่างๆให้อีกด้วย และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเธอยังเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคนในบ้านแห่งนี้อีกด้วย เธอช่วยเหลือ B-boy ให้ยังคงอยู่



ประวัติและต้นกำเนิดของ Hip-Hop


Old school hip hop (1979-1985)

ก่อนที่เพลง Rap จะถือกำเนิดขึ้นดนตรี style Hip Hop   ในยุคแรกๆเกิดจากการ Mix เสียงกลองเพอร์คัสชั่น เข้ากับเพลงที่โด่งดังในยุค 70 มากลายเป็นจังหวะที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวโดยในยุคนั้น DJ Kool Herc เป็นผู้ริเริ่มการ mix เพลงแบบนี้ขึ้นและให้ชื่อจังหวะเหล่านี้ว่า “Break beat” The Herculoids เป็นกลุ่ม Rapper ในสมัยแรกๆซึ่งประกอบไปด้วย DJ Kool Herc ,Coke La Rock และ Clark Kent ซึ่งเป็นกลุ่ม Rapper รุ่นบุกเบิกเลยก็ว่าได้ ในสมัยนั้นเรียก การ Rap ว่า
“ Emceeing “ (MC)  ต่อมา กลุ่ม The Herculoids ก็เริ่มแพร่ขยายการ Rap จาก Party ที่ DJ Kool Herc จัดเป็น Party แบบ Block party ซึ่ง Rapper ในสมัยนั้นจะ Rap นั้นจะเป็นการเชีนร์อัพคนที่อยู่ใน party เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมไปกับเพลงด้วย ซึ่งจะเป็นการ rap แบบนับ 4 จังหวะง่ายๆและมักจะเป็นการคิดสดในทันที ในสมัยนั้นการ rap จะใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ในBlock party เพื่อความสนุกสนาน   รากฐานของการป่าวประกาศ style ชาว Jamica ด้วย

Next Generations (1986-1997)

ความนิยมที่เกิดขึ้น
Hip-Hop รุ่นใหม่เริ่มขึ้นด้วยความโด่งดังของ Run DMC  อัลบั้ม Raising Hell ในปี 1986 เป็นแนวของเมือง New york city  ร้องร่วมด้วยกับ Rapper ชั้นนำ ซึ่งมีการรวบรวมเทคนิคต่างๆ ทั้งการเล่นคำ การส่งคำ และ ประโยคต่างๆของรูปแบบการ Rap ต่อมาค่ายเพลงอิสระที่เป็นที่รู้จักกันในนาม
Def Jam Recordings  ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของฝั่ง East coast ( ฝั่งอเมริกาตะวันออก ) ในปี1984  ยุคทองของ Hip-Hop ยังมี  Rapper ที่น่ายกย่องมากที่สุดคือ Big Daddy Kane และ
 Kool G Rap  ของ Cool Chillin’ Records และ Rakim  ของคู่หูผู้มีอิทธิพลต่อวงการ Eric B & Rakim อัลบั้ม Paid in Full  ในปี 1987 เป็นอัลบัมอีกอัลบั้มหนึ่งของ Hip-Hop ที่น่ารำลึกถึงในยุคนี้

Ice-T เป็น Rapper ที่ rap เกี่ยวกับการเมืองครั่งแรก ในปี 1984 กับ single  ชื่อว่า “Killers” ในปี 1988 Public Enemy  ออกอัลบั้ม “ It takes a Nation of Millions to hold Us Back “ ซึ่งเนื้อหาจะมุ่งประเด็นไปในเรื่องของการเมือง ตั้งแต่ต้นจนจบ ในปีเดียวกัน Boogie Down Productions ก็ได้ออกอัลบั้ม  By All Means Necessary   ซึ่งทำให้การ Rap ในเนื้อหาในแนวนี้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งสองอัลบั้มเป็นผู้บุกเบิกให้กับ Rapper ที่ Rap เกี่ยวกับการเมืองมากมาย  Rapper ที่เป็นผู้บุกเบิกเทคนิคใหม่ๆในการ Rap ด้วย และในปีเดียวกับ “ It takes a Nation of Millions to hold Us Back “ ของ Public Enemy ออกมานั้น เป็นปีที่อัลบั้มคู่ของ DJ Jazzy Jeff & The Fresh Prince (Will Smith) ชนะรางวัล Rap Award รางวัลแรกของ Grammy Award  แต่รางวัลของทั้งสองก็ไม่ได้ถูกประกาศออกอย่างเป็นทางการทางทีวี เนื่องด้วยปัญหาการคัดค้านในมุมกว้างของ ศิลปิน Rap ทั่วไป

Style ดนตรี Hip-Hop ต่างๆ
ในปี 1988 และ 1989 ศิลปินจาก Native Tongues Posse ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า Conscious Hip Hop
ด้วยรูปแบบที่มี การนำดนตรี Jazz มาเป็นลองเป็นพื้นฐาน มีความหลากหลายมีทั้ง สำนวน และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น ด้วยหลากหลายหัวข้อทางการเมือง (style Jazz Rap) ซึ่งมีอิทธิพลมากมายมาจาก Afrocentric  ซึ่งเป็นข้อความของ Bambaataa’s แห่ง Zulu Nation  อัลบั้มนี้กลายมาเป็นผู้เบิกทางให้กับ A Tribe Called Quest  อัลบั้ม The Low End Theory ที่ออกมาในปี 1991  และ อัลบั้มนี้ก็กลายเป็น อัลบั้มที่นักวิจารณ์ และแฟนๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นอัลบั้ม Jazz Rap ยอดเยี่ยมที่เคยมีมา John Bush แห่ง Allmusic (ฐานข้อมูลเพลงแหล่งใหญ่) ได้ให้คำจำกัดความกับอัลบั้มนี้ไว้ว่า เป็นอัลบั้มหนึ่งที่เป็นการผสมผสานระหว่าง Jazz และ Hip-Hop โดยมีอารมณ์บรรยากาศของ Jazz อยู่ในรูปแบบของ Hip-Hop ที่ลงตัว

นอกเหนือจากนี้ดนตรีแนวนี้ยังเป็นที่นิยมในช่วงต้นปี 1990s  ต่อมา Hip-Hop ได้แหวกกฏเกณฑ์ทางภาษา โดยเริ่มมีการ Rap ในภาษาสเปนเกิดขึ้นและ style ของดนตรีก็ได้นำการผสมผสานเอาเครื่องดนตรีและกลิ่นแบบสแปนิชเข้าไปด้วยเพลง Rap ที่ทำให้เข้าใจยาก ศิลปินอย่างเช่น Kid Frost ,Mellow Man Ace ,Gerardo และ El General เป็นรู้จักกันมากขึ้นในต่างประเทศด้วย ทำให้ชาว สเปนติดหูกับสิ่งที่พวกเขาสื่ออกมาจากวัฒนธรรม Hip-Hop ก่อนที่จะมีวง Rap เปอร์โตริกัน แต่อย่างไรก็ตามวัยรุ่นชาวเปอร์โตริกัน ที่อาศัยอยู่ใน El Barrio และ South Bronx ได้เริ่มเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรม Hip-Hop มาตั้งแต่ปี 1970 แล้ว เพราะไม่ใช่แค่นักร้อง rap super star จากปี 1990’s ที่ทำให้ชาวเปอร์โตริกัน แม็กซิกัน เข้ามานิยมและสนใจวัฒนธรรม Hip-Hop เพียงเท่านั้น  Hip-Hop กลายมาเป็นวัฒนธรรมที่แบ่งช่องว่างให้กับการใช้ภาษาโดยที่จะเป็นทางเลือกและมุมมองใหม่และเปิดกว้างในการใช้ภาษาอื่น ประกอบกับภาษาอังกฤษในเพลง rap ด้วย กลายเป็นรูปแบบวัฒนธรรมร่วมของการแสดงออกด้วย

ความคิดเกี่ยวกับ Gangster Rap
Ice T อัลบั้ม 6n’ Da Mornin” ในปี 1986 เป็นอัลบั้มแรกจากฝั่งตะวันตกของอเมริกา (West Coast Hip-Hop) ที่ประสบความสำเร็จมากและกล่าวถึงเนื้อหาเกี่ยวกับ Gangster และพูดได้ว่าเป็นยุคแรกเริ่มของ ความคิดเกี่ยวกับ Gangster Rap   ในปี 1988 กลุ่ม Rapper ที่มีชื่อ ว่า N.W.A ได้ออกอัลบั้ม “Straight Outta Compton” อัลบั้มนี้ทำให้เกิดความนิยมเพลงในแนว Gangster Rap จนกลายเป็นที่นิยมมากตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ทำให้เกิด Rapper ใน style นี้มานับไม่ถ้วน รวมไปถึง
The Notorious B.I.G. ,Puff Daddy ,Eazy E ,Dr. Dre ,Bone Thugs N Harmony ,Snoop Doggy และ Tupac Shakur

Dr. Dre อัลบั้ม The Chronic ในปี 1992 เป็นอลับั้มที่เป็นตัวผลักดันให้เห็น style ของ Hip-Hop ตะวันตก 
(West Coast Hip-Hop) อย่างแท้จริง 

ในปี 1990 Gangster Rap กลายมาเป็นแรงผลักดันใหม่จากอัลบั้ม The Chronic ของ Dr. Dre นั้นทำให้เกิด style เพลง Hip-Hop แนวใหม่ขึ้นที่เรียกว่า G-funk โดย style นี้จะใช้เพลง Funk จาก ยุค 70 มาทำใหม่ เพียงการนำเสียงดนตรีของเพลง Funk ในยุค 70 มาทำให้หนักหน่วงและลดจังหวะให้ช้าลง  ตั้งแต่นั้นมา style G-funk เริ่มเข้ามาครอบงำ แนวดนตรีของ Hip-Hop ในฝั่งตะวันตกของอเมริกา ( West Coast Hip-Hop )  G-funk กลายมาเป็นที่นิยมและมีความหลากหลายมากในช่วงต้นปี 1990 แต่อย่างไรก็ตาม Hip-Hop ในฝั่ง New York City ก็ไม่ได้ศูนย์หายไป แต่ก็ยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์

West Coast Hip-Hop ตั้งแต่ต้นยุค 90 มาจนถึงช่วงกลาง ยุค 90 ก็ได้ถือกำเนิด Rapper ที่เป็นตำนานคือ Tupac Shakur ผู้ที่มีประวัติการติดคุกมากที่สุด เค้ากลายมาเป็น idol ของฝั่งอเมริกาจะวันตกไปเลย จากอัลยั้ม Me Against the World และเป็นแรงบันดาลใจที่ยอดเยี่ยมจากอัลบั้ม All Eyez on Me 
เป็นที่เลื่องชื่อของ Hip-Hop ตั้งแต่ ปี 1990 เป็นต้นมา การตายของเค้าที่เหมือนกับ Notorious B.I.G. ทำให้เพลง rap ที่พวกเขามาทำลายตัวของเขาเองและจบชีวิดด้วยเนื้อของเขาเอง ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงและการต่อต้านอำนาจรัฐ และ ตำรวจ

การจบสิ้นของยุคสมัย
ในช่วงที่มีแต่การถกเถียงกันมากเกี่ยวกับ Hip-Hop อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นยุคทองของ Hip-Hop อยู่ดี มีการถกเถียงกันมากมายว่าความนิยมของ เพลง Hip-Hop กำลังเสื่อมลงตั้งแต่ปี 1990  เป็นต้นไป มีหลายจุดที่ทำให้คนคิดว่า Hip-Hop กำลังเสื่อมความนิยมลงคือ ตั้งแต่วันที่ Tupac Shakur เสียชีวิตในปี 1996 บางคนก็ว่าตั้งแต่วันที่ Notorious B.I.G. เสียชีวิตในปี 1997 แต่ก็มีเหตุผลอื่นที่พิสูจน์ว่า Hip-Hop กำลังเสื่อมความนิยมลงคือ พฤติกรรมของ Rapper เช่น The Notorious B.I.G. และ Puff Daddy ที่มีเรื่องมีราวบ่อย และ ยังมีเรื่องที่ วง Public Enemy พิสูจน์ว่า Hip-Hop ได้เสื่อมความนิยมลงอย่างเห็นได้ชัด บางคนก็บอกว่าเป็นความไม่ยุติธรรมที่ค่ายเพลงที่อัดเสียง ดูแลศิลปินไม่ดีซึ่ง บ่งบอกว่าเพลง Hip-Hop ไม่มีการพัฒนาไปอีกแล้ว นอกเหนือจากนั้น วง A Tribe Called Quest อัลบั้มล่าสุดของพวกเค้าในปี 1998 ได้ตั้งชื่ออีกว่า “Hip-Hop is Dead” และได้มีศิลปินอีกหลายคนร้องมันออกมาก่อนที่จะมีอัลบั้มของ NAS ที่ ชื่อว่า “Hip-Hop is Dead”


NEW ERA of Hip-Hop (ปี 1998 มาจนถึงปัจจุบัน)

ความนิยมในต่างประเทศ (นอกอเมริกา)

ตั้งแต่กลางปีมาจนถึงปลายปี 1990 เป็นต้นมา ดนตรี Hip-Hop กลายมาเป็นแนวดนตรีที่มีความนิยมมากไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกาเพียงเท่านั้นแต่มันขยายวงกว้างไปทั่วโลก ความนิยมอันแข็งแกร่งนี้ทำให้ Hip-Hop มีการพัฒนาไปข้างหน้า ระหว่างที่คนอื่นกำลังมองว่า Hip-Hop ในอเมริกากำลังหมดความนิยมไป ความนิยมนี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์ของ Rapper ขึ้นในช่วงนี้ซึ่งเรียกกันว่า “Jiggy/bling” เพลง Rap บางครั้งก็เป็น Pop Rap ซึ่งถูกเรียกว่า Jiggy ( ‘Jiggy’ มาจากเพลงของ Will Smith มาจากเพลง “Getting’ Jiggy With It” ของเค้านั้นเอง ) ส่วนคำว่า bling นั่นหมายถึงเครื่องประดับที่ประดับไปด้วยเพชรแวววาวนั่นเอง

ความสำเร็จและการปรับเข้ากับสังคม
ครึ่งปีหลังจากปี 1990 ตอนใต้ของอเมริกาก็ได้มีความนิยมที่เติบโตขึ้นเป็นวงกว้างของเหล่าแฟนๆของ OutKast ,No Limit และ Cash Money Records  ในอีก 10 ปี ให้หลังจากปี 1990 การเจริญเติบโตของ Hip-Hop ที่เริ่มจะดูดซึมในรูปแบบดนตรีแนวใหม่ที่เรียกกันว่า Neo Soul “ เป็นการผสมผสานระหว่างดนตรี Hip-Hop และดนตรี Soul ซึ่งมีการผลิตนักร้องของแนวดนตรีนี้ให้เกิดขึ้นในช่วงกลางๆของ 10 ปีที่ผ่านมาจากปี 1990 



ขอบคุณที่อ่านจนจบครับผม :)