สวัสดีครับทุกท่านที่เคารพรัก ผมไม่ได้เข้ามาเขียนได้ซักพักนึงจริงๆมีหลายเรื่อง
ที่อยากจะเขียนแต่ก็ไม่มีเวลาได้มาเขียนซักที วันนี้ผมอยากจะคุยในประเด็นที่เป็น
ดราม่าอยู่เมื่อไม่นานมานี้ซึ่งทำให้เกิดกระแสการตื่นตัวทางวัฒนธรรมไทยอย่าง
เห็นได้ชัด คือ เรื่องที่ว่า ร่างของแผนการเรียนการสอนของการศึกษาชั้นต้นไม่มี
วิชานาฏศิลป์ไทยอยู่ในวิชาเรียน
จะว่าไปแล้ววิชานาฏศิลป์ไทยเป็นวิชาหนึ่งที่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับผมตอนเรียน
สมัยประถม เป็นวิชาที่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไร รู้แค่ว่าได้เข้าไปในห้องแอร์
เย็นๆ มีพรมนิ่มๆให้นั่งแล้วคุณครูก็น่ารักๆ ผมยังจำได้ ตอนนั้นไม่ได้สนใจว่ากำลัง
เรียนอะไร แต่สนใจแค่ว่าคุณครูน่ารักมากผมเลยตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ ฮ่าฮ่า
จริงๆวิชานี้พอผมเริ่มโตขึ้นมาเข้ามัธยมต้นก็ได้เรียนน้อยลง แต่ก็ยังได้เรียนอยู่บ้าน
เป็นวิชาที่ผ่อนคลายดี เพราะมันไม่ต้องอ่านไม่ต้องจดหรือเขียนอะไร นั่งสบายๆ
แล้วทำท่าต่างๆตามไป เรียนรู้ประวิติศาสตร์ของมัน แม้จะจำไ้ด้บ้างไม่ได้บ้างผมก็
ยังเรียนไป เพราะมันก็ยังดีกว่าให้ผมไปนั่งเรียนคณิตศาสตร์เครียดๆ (สำหรับผมนะ)
พอจบมัธยมต้นวิชานี้ก็ได้หายไปจากการเรียนของผม แต่ผมก็ยังได้ไปช่วยเขาบ้าง
ในบ้างโอกาศเพราะผมเต้น B-boy เลยต้องไปช่วยงานของโรงเรียนบ้าง ไปประกอบ
โชว์ช่วยอาจารย์นาฏศิลป์ และ อาจารย์ด้านดนตรีอยู่บ่ายครั้ง
จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้มาสอบตรงเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขานาฏศิลป์สากล
ตอนแรกๆผมก็ไม่ทราบว่าเข้าไปแล้วจะต้องเรียนอะไรบ้าง รู้แค่ว่าเข้าไปจะได้เรียนเต้น
และก็จบปริญญาตรีได้เหมือนกัน ผมเลยสอบเข้าไปเลย ที่มหาลัยผมด้านนาฏศิลป์
มีอยู่ 2 สาขาคือ นาฏศิลป์สากล และ นาฏศิลป์ไทย สอบจากนักเรียน 200-300 คน
(ปัจจุบันอาจจะมีมากกว่านั้นแล้ว)คัดเหลือ 15-17 คน ต่อ 1 สาขาดังนั้นคนที่ติด
ก็ต้องพอไปวัดไปวาด้านเต้นหรือรำได้พอสมควร การสอบดูเหมือนจะง่ายแต่มันก็
ไม่ง่ายเลยถ้าคุณอยู่ดีๆไม่เคยเต้นหรือรำเลยแล้วลองเข้ามาสอบ
ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของนาฏศิลป์ จนกระทั่งสอบติดและได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย
ความเข้าใจของผมเปลี่ยนไปจากเดิมมากเมื่อเข้าไปในสังคมนั้นจริงๆ การเีรียนนาฏศิลป์
ไทยหรือสากล หลายคนอาจจะถามว่าจบมาไปทำอะไรกิน เป็น Dancer ? รับงานจ้างรำ ?
เป็นครูสอนเต้น ? เป็นนักออกแบบท่าเต้น ? หรือเปิดโรงเรียนสอนเต้น ? อาชีพที่ผมกล่าวมา
ไม่ได้จำกัดไว้สำหรับคนที่เรียนมหาลัยจบไปแล้วเพียงเท่านั้น เพราะทุกวันนี้ใครๆก็ทำได้
เด็กประถมก็เต้น เด็กมัธยมก็เต้น แล้วเด็กพึ่งจบมหาลัยล่ะ จบเต้นมาแล้วไม่แก่เกินไปหรือ
สำหรับการเต้น ? นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากจะบอกว่าเราเรียนสาขานาฏศิลป์ไปเ้พื่ออะไร ?
ผมว่ามันคือการพัฒนาวิธีคิด การเปิดมุมมองใหม่ๆกับสิ่งรอบๆต้ว การสร้างจุดยืนที่บาง
วิชาไม่เคยบอกคุณว่าต้องมี แต่ในการทำงานหลายๆอาชีพบอกคุณว่ามันต้องมี ไม่งั้น
คุณจะกลายเป็นพวกคนทั่วๆไปที่ทำงานแบบใครๆก็ทำได้ วิชานี้ให้สังคมที่กว้างขึ้นเพราะ
คุณจะไม่สามารถเป็นแดนเซอร์ไปตลอดชีวิตแน่ๆ คุณจะพบเจอคนใหม่ๆ อาจจะได้ไปทำงานที่
ไม่เคยทำงานแปลกๆนอกสาขา ซึ่งอาจจะทำให้ทัศนคติในการใช้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปในอนาคต
และสิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ คนที่เรียนสาขานี้ได้ตอบสนองความสุขของตนเอง มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณ
จะเรียนสาขานี้มาหรือไม่แต่คนที่เรียนจะมีมุมมองที่แตกต่างจากคนที่ไม่ได้เรียน มันได้วิธีคิด
ที่แตกต่าง จากคำว่า " ใครๆก็เป็นได้ " คุณจะรู้วิธีเอาตัวรอดและปรับตัวได้จากสิ่งที่คุณ
เป็นและสามารถหาเลี้ยงชีพได้จากสิ่งที่คุณรัก นั่นคือข้อดีจากการเรียนสาขานี้
ร่างหลักสูตรใหม่ ที่เพิ่งจะมีปัญหาไปเมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์นาฏศิลป์หลายท่านรวมถึงนิสิต
นักศึกษาต่างพากันรวมตัวเพื่อขอความชัดเจน ว่าต้องมีวิชานาฏศิลป์บรรจุลงไปในการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน โดยให้เหตุผลว่า หน่วยกิจของหมวกวิชาศิลปะมีเพียง 0.5 แล้วนำมาหาร 3 กับ
อีก 2 วิชาศิลปะ ว่าง่ายๆคือเรียนเพียง 1 คาบ ต่อ 1 อาทิตย์ และคะแนนของวิชานี้มีผลน้อยมาก
ต่อผลการเรียนทั้งหมด แต่ในร่างหลักสูตรกลับไม่มีวิชานี้เขียนลงไป โดยให้เหตุผลว่าเด็กไทย
เรียนวิชาวิทยาศาตร์อ่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เป็นการแกปัญหาแบบค่ำๆคูๆ
ในกรณีที่ถ้าการตัดวิชานาฏศิลป์ออกจากการศึกษาขั้นพื้นฐานเกิดขึ้นจริงจะมีกระทบทันทีกับ
1) ครูที่สอนนาฏศิลป์ท่านจะตกงาน
2) เด็กไทยจะรู้จักนาฏศิลป์ไทยแค่จากในทีวี ,หนังสือ ,อินเทอร์เน็ท หรือไม่ก็จากที่รำแก้บน
3) เด็กที่มีพรสวรรค์หรือสนใจในสาขานี้จะไม่มีวันได้สัมผัสนาฏศิลป์เลย
4) โรงเรียนนาฏศิลป์มีหลายแห่งทั่วประเทศจะไม่สามารถหาเด็กที่
มีพื้นฐานมาต่อยอดโดยง่าย
5) เมื่อไม่มีพื้นฐานจากประถม มัธยม แล้วก็จะไม่มีพื้นฐานอะไรไปต่อในมหาวิทยาลัย
6) สมบัติของชาติจะค่อยๆเลือนหายไปจากความทรงจำของประชากรไทยยุคใหม่
7) นาฏศิลป์ไทยอาจจะไม่หายไปแต่จะำหาเรียนได้ยากขึ้นกว่าเดิม
8) ประชากรยุคใหม่จะรู้จักแต่วัฒนธรรมต่างชาติ ส่วนวัฒนธรรมตนเองก็ไม่รู้จักมันจริงๆ
9) ถูกกลืนวัฒนธรรมได้ง่าย ด้วยเทคโนโลยีที่รวดเร็วทำให้อะไรเปลี่ยนไปรว่ดเร็วเช่นกัน
นั่นเป็นตัวอย่างคร่าวๆที่ผมยกขึ้นมาให้ดูถ้าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงๆ หลายๆคนจะลำบากคน
ที่ทำหน้าที่รักษาสมบัติวัฒนธรรมของชาติจะกลายเป็นคนที่ไร้ความหมาย และคนที่ไร้ความ
หมายตามมาอีกก็คือคนไทยทุกๆคน นาฏศิลป์ไม่ใช่การแสดงเพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
แต่มันมีนัยยะซ่อนอยู่ในนั้นซึ่งหลายๆคนไม่เข้าใจ รูปแบบของท่ารำหรือจังหวะการขยับมัน
แสดงถึงความเป็นคนไทยที่มีนิสัยอ่อนน้อมถ่มตน มีน้ำใจ ขี้อาย และมีสัมมาคารวะ คนไทย
มีความเนิบช้า แต่ก็สบายๆไม่เร่งรีบซึ่งตรงกับลักษณะของนาฏศิลป์ไทยโดยตรง มันคือราก
เหง้าที่สื่อถึง "จริต" ของคนไทยแท้ๆได้อย่างลึกซึ่งโดยไม่ต้องอธิบายมาก
นาฏศิลป์ไทยมีการพัฒนาขึ้นมามากมายหลากหลายรูปแบบ หลากหลายภูมิภาค มีนาฏศิลป์ไทย
ในรูปแบบที่ต่างกันไปตาม "จริต" ของคนในภาคนั้นๆแต่ก็ยังคงมีกลิ่นอายของคนไทยซึ่งเป็น
จริตหลักๆอยู่นั่นเอง นาฏศิลป์ไม่ได้สอนแต่การนับจังหวะฟังเพลง หรือ วิธีการขยับร่างกาย
เพียงเท่าั้นั้น แต่มันสอนรากเหง้าของจิตวิญญาณของบรรพบุรุษจากรุ่นหนึ่งสู้อีกรุ่นหนึ่ง
สอนวิธีคิดที่เป็นรากทางวัฒนธรรมของเราผ่านการขยับร่างกายตามจังหวะดนตรี
ในฝั่งจะวันตกนาฏศิลป์ในสมัยโบราณไม่ได้มีมากมายหลากหลายมากเท่าฝั่งเอเชีย หรือแม้แต่
บ้านเรา นั่นแสดงถึงว่า ด้านจิตใจและวัฒนธรรมของเราได้ก้าวล้ำนำสมัยไปมากกว่าฝั่งตะวันตก
มาก คนมีสุนทรียที่แตกต่าง มีความลึกซึ้งด้านการคิดการสร้างสรรค์มากกว่า ไม่ใช่การเต้นเพื่อ
เป็นโชว์ปาหี่หรือสนุกสนานไปวันๆเพียงอย่างเดียว หลายๆคนพยายามจะบอกว่านาฏศิลป์
ไทยนั้นล้าหลังไม่มีการพัฒนาเหมือนกับนาฏศิลป์ตะวันตก อันที่จริงแล้วเรามีการพัฒนา
มาหลายร้อยปีแล้วก่อนหน้าที่นาฏศิลป์จะวันตกจะคิดค้นนาฏศิลป์ร่วมสมัยขึ้นมาเสียอีก
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเอานาฏศิลป์ตะวันตกซึ่งเป็นงานร่วมสมัย มาเทียบกับนาฏศิลป์ไทย
ซึ่งเป็นงานต้นตำหรับได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาของ
คนไทยอย่างแท้จริง
คนที่คิดว่านาฏศิลป์เป็นเพียงอาชีพเต้นกินรำกิน ผมว่าเขาก็คิดไม่ผิดหรอกครับ แต่ทว่าอาชีพ
นี้มันได้พยุงอุ้มชูความเป็นเอกลักษณ์ของคนไทยไม่ให้หายไปอีกด้วย คนที่รำไทยเปรียบ
เสมือนฑูตวัฒนธรรมโดยตรงแบบไม่ต้องใช่ภาษาพูดกับต่างชาติ แต่เขาสามารถเรียนรู้คนไทย
ได้จากสิ่งที่เขาเห็นสิ่งที่เขาได้ยิน และเขาก็จะกลับมาบ้านเราครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อเสพสิ่งเหล่านี้
นอกเหนือจากนี้ในบางประเทศยังมีสาขานาฏศิลป์ไทยให้เรียนในมหาวิทยาลัยอีกด้วย
วันนี้ขอบ่นแค่นี้ล่ะครับ ผมคงไม่พูดอะไรถึงคนร่างหลักสูตรหรือดราม่าที่เกิดขึ้นจากการเมือง
หรืออะไรก็ตาม แต่ผมจะบอกว่าวัฒนธรรมชาติเป็นสิ่งที่ทำให้เราเรียกตัวเองได้เต็มปากว่าเรา
เป็นคนไทย เรามาจากเมืองไทย เราพูดภาษาไทย เรามีจริตแบบไทยๆ เรามีความคิดแบบ
ไทยๆเราใช้ชีวิตแบบไทยๆ เรามีรอยยิ้มแบบไทยๆ ซึ่งถ้าใครที่ไม่ใช่คนไทยก็ยากที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้วิชานาฏศิลป์ช่วยให้คนอย่างผมจบออกมามีความคิดดีๆ มีชีวิตดีๆ ภูมิใจและรัก
ในความเป็นไทยที่ใครๆถามผมก็ภูมิใจที่จะนำเสนอเรื่องราวของคนไทยให้กับเพื่อนๆต่าง
ประเทศฟังเสมอ สุดท้ายนี้นาฏศิลป์ไทยสำหรับคุณนั้นคืืออะไร ก็มีเพียงแต่ตัวคุณเองเท่า
นั้นแหละครับที่ตอบได้
สวัสดีครับ :)
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ในวิกฤติมีโอกาส
หวังว่าทุกท่านคงจะสบายดีช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยดูแลสุขภาพให้ดีนะครับ
(ทิฟฟี่ ไม่ใช่สิ 555)
ชีวิตของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่เีรารู้และก็ไม่รู้ตัว บางสิ่ง
วิ่งเข้ามาในจังหวะที่ไม่พอดี แต่มันไม่เคยบังเอิญเพราะมันมีเหตุผลของมันเสมอ
มีที่มา มีที่ไป ถ้ามานั่งคิดดีๆก็จะสามารถหาต้นเหตุของสิ่งๆนั้นได้เอง
บทเรียนหลากหลายเกิดจากปัญหาต่างๆที่เข้ามาหาเราทั้งที่เราก่อเองและไม่ได้ก่อ
ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว และหลายครั้งสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิดมักจะเกิดขึ้นพร้อมๆกัน
หลายๆอย่าง ดังนั้นการมีสติเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เป็นการยากที่เราจะควบคุมอารมณ์
ไม่ให้อินไปกับปัญหาต่างๆ การมองปัจจุบันและแก้ปัญหาไปทีละเรื่องบางครั้งมันไม่ใช่
เรื่องง่ายเลย เมื่อสุขภาพจิตเราไม่ดีอะไรต่างๆก็เริ่มเลวร้ายตามความคิดเราไปด้วย
ทำอะไรก็ดูไม่ถูกใจไปหมด อะไรๆก็ดูขัดหูขวางตา ปัญหาทำให้เรามองถึงอนาคตที่
เลวร้ายที่กำลังจะตามมา ความคิดเลวๆพวกนั้นกัดกินเราจนเราตั้งสติไม่อยู่ คิดวนไปมา
ไม่จบไม่สิ้น เหมือนหมาที่ไล่กัดหางตัวเอง บางครั้งถ้าเราตัดหางหมาไม่ได้ เราก็ต้อง
ปล่อยมันทำเป็นมองมันไม่เห็น รอเวลาให้หางมันหยุดกระดิกไปเอง มันเป็นความบ้า
คลั่งของมนุษย์อย่างหนึ่งที่ทุกคนเป็น
มนุษย์ทุกคนมีวิธีการจัดการปัญหาของตัวเองด้วยวิธีที่แตกต่างกันไป ตามสัญชาตญาณ
ของแต่ละบุคคล ในปัญหาพวกนั้นมันเป็นอะไรบางอย่างที่เข้ามาทดสอบคนเราว่าเราจะ
สู้กับมันได้มันและอึดกับมันได้มากแค่ไหน บางคนอึดมากแต่ไม่เข้มแข็ง บางคนเข้มแข็ง
มากแต่ไม่มีความอึดพอ ปัญหามันเลยเกิดซ้อนขึ้นมาทำให้เราทำอะไรลำบากขึ้น เหมือน
อยู่ดีๆมันมีกำแพงเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นในแบบที่เราไม่ได้ตั้งใจ ผมเรียกว่า "กำแพงความอารมณ์"
และ "กำแพงความคิด" สองอันนี้มันหนาพอๆกัน อยู่ที่ว่าคนไหนถนัดปีนกำแพงแบบไหน
กำแพงทางความคิด
เป็นกำแพงที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกไม่มั่นใจกับอะไรบางอย่างปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเลย
ไม่สามารถแก้ได้เพราะเรามัวแต่งุนงงอยู่กับ ว่าจะเอายังไงดีคิดย้อนไปย้อนมาจน
เกิดความรู้สึกกลัวที่จะสู้กับปัญหาเหล่านั้น มักจะเกิดขึ้นกับคนที่คิดมาก เพราะคนคิด
มากจะมีความไม่มั่นใจในตัวเองอยู่สูงจนก่อให้เกิดปัญหาจนปวดหัวไปหมด และ
กลายเป็นคนที่ไล่กัดหางตัวเองในที่สุด
กำแพงทางอารมณ์
เป็นกำแพงที่น่ากลัวไม่แพ้กับกำแพงแรกที่ผ่านมา กำแพงนี้จะเกิดขึ้นกับคนมีอารมณ์
อ่อนไหวเมื่อเจอกับปัญหาแล้วว่าง่ายๆคือ ไม่เข้มแข็งนั่นเอง คนพวกนี้จะไม่ค่อยคิดมาก
แต่จะใช้อารมณ์พาไปหาวิธีแก้ปัญหา ซึ่งการที่อารมณ์ไม่คงที่ทำให้เราไร้สติและสามารถ
ทำอะไรที่ผิดพลาดได้มาก ขาดความรอบคอบ และยับยั้งชั่งใจ กำแพงนี้เป็นกำแพงที่
อันตราย ปีนพลาดอาจตกลงมาถึงตายไม่ก็ช้ำในได้
ในปัญหาของเราทุกคนถ้าเราใช้สติ ปล่อยให้อารมณ์เสียๆ หรือ อารมณ์ที่ฟุ้งซ่านผ่าน
ไปมันก็จะค่อยๆเห็นทางออกที่ชัดขึ้นเอง แม้บางทีมันมืดแปดด้านแต่ยังไงซะเราก็
ต้องหาด้านที่เก้าเจอเข้าจนได้ เพราะจริงๆตัวเราสร้างกำแพงพวกนี้ขึ้นมาเองโดยไม่ได้
ตั้งใจ การปีนกำแพงเลยไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคนเหมือนกัน ถ้าคุณมี สติ ก็เท่ากับว่ามี
อุปกรณ์เซฟตัวเองกันร่วงได้ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ทว่าจะทำอย่างไรล่ะ ?
การหาอะไรทำที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาความคิดที่ไม่เลวเลย ทำเป็นว่านอกเรื่องมันไปเลย
พอออกนอกเรื่องแล้วมันเท่ากับว่าเราไม่สนใจปัญหาพวกนั้นแล้ว ไม่คิดถึงมัน ลดภาวะทาง
อารมณ์ไปได้มากลดความฟุ้งซ่านได้มาก ทีนี้วิธีกาีรแก้ปัญหาก็จะค่อยๆออกมาเอง การขยี้
อะไรซ้ำๆไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนักดันจะทำให้มันเป็นกำแพงที่สูงขึ้นไปอีก เราต้องหัด
ปล่อยมันไปตามธรรมชาติของมันดูบ้าง เพราะไม่คิดก็ไม่ตาย เราเองต่างหากที่คิดว่า
มันจะตาย
ในรูปแบบของปัญหานั้นๆมีโอกาสบางอย่างที่เราไม่ได้สังเกตุเสมอ บางครั้งเรื่องเลวร้าย
ที่เข้ามาทดสอบเราอาจจะมีอะไรบางอย่างให้เราได้ทำก็ได้ อาจด้วยความจำเป็นหรืออะไร
ก็ตาม แม้เราจะไม่ชอบมันแต่เราได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น เปิดใจในแบบ
ที่ไม่เคยคิดจะเปิดมาก่อนก็ได้ใครจะไปรู้ มันเป็นครูที่ดีที่สุดของเราเลยก็ว่าได้
ปัญหา ----> ประสบการณ์ ----> โอกาส ----> สิ่งใหม่ !
ก่อนที่คุณจะเห็นโอกาสพวกนั้นคุณต้องเห็นตัวคุณเองก่อนว่ากำลังทำอะไรอยู่ ดูว่าปัญหา
มันคืออะไรแล้วจะจัดการกับมันแบบไหน ? แล้วมันมีกี่วิธีกัน ? ถ้าแก้ไม่ได้จะทำยังไงต่อ ?
แผนสำรองมีมั้ย ? แล้วมันมีกี่แบบ ? ทำได้จริงหรือเปล่า ? สำหรับคนที่ยังฟุ้งซ่านผมแนะนำ
ให้อย่าคิดเรื่องพวกนี้มากให้คุณหาเวลาพักสมองปล่อยวางเรื่องต่างๆก่อน บางครั้งคุณอาจ
จะไม่ต้องเรียบเรียงเหมือนที่ผมบอกแต่มันอาจจะโผล่ออกมาเฉยๆในระหว่างที่คุณรู้สึกผ่อน
คลายก็ได้สมองของเรามีระบบการจัดการที่ดีเลิศอยู่แล้วแค่คุณเชื่อมันในมันแล้วมันจะสามารถ
แก้ปัญหานั้นได้เองโดยไม่ต้องปีนกำแพงให้เหนื่อยมากๆ
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
"Style" รูปแบบชีวิต
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝน
เดี๋ยวอบอ้าว เป็นอากาศที่น่าหงุดหงิดมากๆ ยังไงก็ดูแลสุขภาพกายและใจให้
ดีๆกันนะครับผม วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง "Style" หรือ แนวทาง
เรื่องของแนวทางเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการเต้น การทำงาน และ ในเชิงศิลปะ
จริงๆ style เป็นเพียงแค่รูปแบบ และ รสนิยมของผู้ที่ดำเนินงาน เป็นโครงสร้างของสิ่งต่างๆ
ที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ในด้านต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการปรับทัศนคติ
ที่เป็นตัวตนให้มาลงกับผลงานหรือความสามารถ ก่อนที่จะมาเป็น style ใดใด ล้วนมีที่มา
ที่ไปและแรงบรรดาลใจที่แตกต่างออกไป เป็นการเก็บเล็กผสมน้อยประกอบจนกลายมา
เป็นของใหม่ บางครั้งตัวตนเหล่านี้ฝังรากลึกมาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ และ
ความทรงจำ ความชอบในวัยเด็ก เป็นการแสดงออกที่มีมายาวนานจนเป็นนิสัย
เมื่อคนเราเริ่มเรียนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คำว่า style ก็จะค่อยๆโผล่ออกมาแบบที่เราไม่
รู้ตัว เมื่อทำเข้า เรียนเข้า รู้เข้า ก็เห็นมากขึ้น เลือกได้ง่ายขึ้น เรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง
มีทัศคติที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆเอง เพราะมองโลกของตัวเองมากกว่าโลกภายนอกที่
สังคมปกติมองกัน เมื่อทัศนะคติมีความแข็งแกร่งมากขึ้น รูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงาน
ก็จะชัดเจนขึ้น มีทิศทาง มีรูปแบบที่ตนเองต้องการ บางครั้งเมื่อทัศนะคติที่แข็งแกร่งเกินกว่า
โลกแห่งความเป็นจริงมันก็อันตราย เพราะชีวิตที่อยู่ในโลกของเรามันไม่สามารถทำทุกอย่าง
ได้จริงๆ แต่โลกความจริงบางครั้งก็ทำร้ายโลกภายในของเราจนบอบช้ำำได้เหมือนกัน
การที่เราจะรักษาสมดุลย์ระหว่างโลกของเรา (Style) กับ โลกภายนอก จำเป็นจะต้อง
วางแผนชีวิตของเราให้ดีๆเสียก่อนเพราะโลกภายนอกไม่เข้าใจโลกภายในของเราซะทุกอย่าง
บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้โลกภายนอกเพื่อสื่อโลกภายในของเราออกไปให้คนปกติรับรู้
มันอาจจะใช้ไม่ได้ผลนักแต่การที่จะให้คนหลายๆคนมาเข้าใจในสิ่งที่เราคิดนั้นมันต้องใช้เวลา
ความสามารถ การสนับสนุนที่ดี การประชาสัมพันธ์ที่ต่อเนื่อง การเชื่อมต่อประสานของผู้คน
และปัจจัยอีกหลายๆอย่าง โลกแห่งชีวิตจริงไม่เคยยอมรับความแตกต่างของใครได้จริงๆ
เราจึงต้องเผื่อช่องว่างระหว่างโลกความจริงและโลกของเราเอาไว้ตรงกลางด้วย
คนบางเข้าใจตนเองจนหลงเข้าไปในสิ่งที่ตนเองเลือกเป็นแนวทางมากจนเกินไป และ เริ่มคิดว่าสิ่งนี้วิเศษที่สุดไม่มีอะไรเทียบได้อีกแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้จะ้เกิดการยึดเกาะของความคิดกับ styleนั้นๆ ผมเรียกเรื่องแบบนี้ว่าการ "หลง style" เมื่อเรายึดติดกับอะไรซักอย่างมากๆ นานๆ การพัฒนารูปแบบจะไม่เกิดขึ้น มันจะเป็นไปในทางเพิ่มพูนสิ่งที่มีอยู่แล้วมากกว่า แต่ไม่ได้เป็นไปในทางพัฒนาความรู้ที่เรามีให้สูงกว่าเดิม มันจะเป็นไปในเชิงประมาณแต่ไม่ใช่ในเชิงของคุณภาพที่ดีขึ้นเมื่อเรายึดติด style ใดมากจนเกินไปเราจะรู้สึกเบื่อ และไร้ซึ่งจินตนาการ ขาดการหยั่งรู้ในความสามารถต่อๆไปในตัวของเรา เมื่อเราปลดล็อกความคิดเกี่ยวกับการ หลง style รูปแบบก็จะไม่ติดอยู่ที่รูปแบบเดิมๆ ความสนุกของคุณก็จะมีอยู่ตลอดเมื่อคุณรู้จักที่จะปล่อยให้มันวิ่งไปบนเส้นทางของมันโดยไม่ต้องล่าม !
บางคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่ผมพูดคือการบอกให้ ทิ้งตัวตนที่เป็นอยู่แล้วไปหาอันใหม่ จริงๆมันไม่ใช่
แบบนั้น เพราะถึงคุณพยายามที่จะทำสิ่งใหม่ลองทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง ในนั้นมันก็ยังคงมี style
ของคุณอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ คนหลายคนลืมไปว่ามันติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว บางทีเราแทบไม่
ต้องค้นหามันเลยด้วยซ้ำ มันอยู่กับเราตลอดเวลาที่เรากำลังดำเนินชีวิต ฉนั้นการทำสิ่งใหม่ลองอะไร
ใหม่ๆที่ไม่ใช่ตัวเอง มันก็สามารถทำให้คุณได้แรงบรรดาลใจใหม่ๆในการใช้ชีวิตในรูปแบบของคุณ
ได้เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้มองเห็นตัวเราได้ตลอดเวลา ขอเพียง
เรารู้ว่าทัศนคติของเราเป็นอย่างไร เราก็จะเห็นได้ยิ่งชัดเจน
ถ้าเราเข้าใจกฏธรรมชาติพื้นฐานได้เราก็จะเข้าใจกฏของการใช้ชีวิตได้เช่นกัน รูปแบบ
ของเราเราจะไม่ได้เป็นแค่รูปแบบแต่จะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เหมือนกับอวัยวะที่เราสามารถใช้เมื่อไหร่ก็ได้ที่เราต้องการ แต่เมื่อเราสั่งการแล้ว ก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับสิ่ง
รอบข้างเพราะ style ของเราเป็น ส่วนหนึ่งของโลกด้วย ทุกสิ่งล้วนไม่อยู่นิ่ง ล้วนโยกย้ายถ่ายเทและแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเรายึดมากหลงมาก เราก็ยากที่จะเดินต่อไปข้างหน้า มองและชื่นชมแต่สิ่งเดิมๆที่ตนเองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อทำไปนานๆเข้าก็จะเกิดความกลัวเพราะเชื่อไปแล้วว่าตนเองไม่สามารถพัฒนาได้แล้ว เลยเอาสิ่งที่ตนเองทำอยู่ตลอดมาเป็นเกราะเพื่อป้องกันตัวเองจากความคิดของคนอื่นๆที่จะมาขัดแย้งกับตน แต่ในขณะที่คุณไม่ยึดติดกับรูปแบบมากจนเกินไปคุณจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้มากขึ้น ยอมรับผู้อื่นได้มาก
ขึ้น มีความกล้าหาญมากขึ้น มีจินตนาการที่มากขึ้น ไม่มีความซ้ำซากจำเจ ปรับตัวได้กับ
ทุกสถานะการณ์ เมื่อคุณเปิด ประตูแห่งรูปแบบที่ไร้ขีดจำกัด ประตูแห่งจักรวาลก็จะเปิด
รับตัวตนของคุณเองด้วย !
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
เดี๋ยวอบอ้าว เป็นอากาศที่น่าหงุดหงิดมากๆ ยังไงก็ดูแลสุขภาพกายและใจให้
ดีๆกันนะครับผม วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง "Style" หรือ แนวทาง
เรื่องของแนวทางเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากในการเต้น การทำงาน และ ในเชิงศิลปะ
จริงๆ style เป็นเพียงแค่รูปแบบ และ รสนิยมของผู้ที่ดำเนินงาน เป็นโครงสร้างของสิ่งต่างๆ
ที่ได้มาจากประสบการณ์การเรียนรู้ในด้านต่างๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการปรับทัศนคติ
ที่เป็นตัวตนให้มาลงกับผลงานหรือความสามารถ ก่อนที่จะมาเป็น style ใดใด ล้วนมีที่มา
ที่ไปและแรงบรรดาลใจที่แตกต่างออกไป เป็นการเก็บเล็กผสมน้อยประกอบจนกลายมา
เป็นของใหม่ บางครั้งตัวตนเหล่านี้ฝังรากลึกมาจากการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ และ
ความทรงจำ ความชอบในวัยเด็ก เป็นการแสดงออกที่มีมายาวนานจนเป็นนิสัย
เมื่อคนเราเริ่มเรียนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คำว่า style ก็จะค่อยๆโผล่ออกมาแบบที่เราไม่
รู้ตัว เมื่อทำเข้า เรียนเข้า รู้เข้า ก็เห็นมากขึ้น เลือกได้ง่ายขึ้น เรียนรู้สิ่งต่างๆได้ด้วยตนเอง
มีทัศคติที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆเอง เพราะมองโลกของตัวเองมากกว่าโลกภายนอกที่
สังคมปกติมองกัน เมื่อทัศนะคติมีความแข็งแกร่งมากขึ้น รูปแบบการใช้ชีวิตและการทำงาน
ก็จะชัดเจนขึ้น มีทิศทาง มีรูปแบบที่ตนเองต้องการ บางครั้งเมื่อทัศนะคติที่แข็งแกร่งเกินกว่า
โลกแห่งความเป็นจริงมันก็อันตราย เพราะชีวิตที่อยู่ในโลกของเรามันไม่สามารถทำทุกอย่าง
ได้จริงๆ แต่โลกความจริงบางครั้งก็ทำร้ายโลกภายในของเราจนบอบช้ำำได้เหมือนกัน
การที่เราจะรักษาสมดุลย์ระหว่างโลกของเรา (Style) กับ โลกภายนอก จำเป็นจะต้อง
วางแผนชีวิตของเราให้ดีๆเสียก่อนเพราะโลกภายนอกไม่เข้าใจโลกภายในของเราซะทุกอย่าง
บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้โลกภายนอกเพื่อสื่อโลกภายในของเราออกไปให้คนปกติรับรู้
มันอาจจะใช้ไม่ได้ผลนักแต่การที่จะให้คนหลายๆคนมาเข้าใจในสิ่งที่เราคิดนั้นมันต้องใช้เวลา
ความสามารถ การสนับสนุนที่ดี การประชาสัมพันธ์ที่ต่อเนื่อง การเชื่อมต่อประสานของผู้คน
และปัจจัยอีกหลายๆอย่าง โลกแห่งชีวิตจริงไม่เคยยอมรับความแตกต่างของใครได้จริงๆ
เราจึงต้องเผื่อช่องว่างระหว่างโลกความจริงและโลกของเราเอาไว้ตรงกลางด้วย
คนบางเข้าใจตนเองจนหลงเข้าไปในสิ่งที่ตนเองเลือกเป็นแนวทางมากจนเกินไป และ เริ่มคิดว่าสิ่งนี้วิเศษที่สุดไม่มีอะไรเทียบได้อีกแล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้จะ้เกิดการยึดเกาะของความคิดกับ styleนั้นๆ ผมเรียกเรื่องแบบนี้ว่าการ "หลง style" เมื่อเรายึดติดกับอะไรซักอย่างมากๆ นานๆ การพัฒนารูปแบบจะไม่เกิดขึ้น มันจะเป็นไปในทางเพิ่มพูนสิ่งที่มีอยู่แล้วมากกว่า แต่ไม่ได้เป็นไปในทางพัฒนาความรู้ที่เรามีให้สูงกว่าเดิม มันจะเป็นไปในเชิงประมาณแต่ไม่ใช่ในเชิงของคุณภาพที่ดีขึ้นเมื่อเรายึดติด style ใดมากจนเกินไปเราจะรู้สึกเบื่อ และไร้ซึ่งจินตนาการ ขาดการหยั่งรู้ในความสามารถต่อๆไปในตัวของเรา เมื่อเราปลดล็อกความคิดเกี่ยวกับการ หลง style รูปแบบก็จะไม่ติดอยู่ที่รูปแบบเดิมๆ ความสนุกของคุณก็จะมีอยู่ตลอดเมื่อคุณรู้จักที่จะปล่อยให้มันวิ่งไปบนเส้นทางของมันโดยไม่ต้องล่าม !
บางคนอาจจะคิดว่าสิ่งที่ผมพูดคือการบอกให้ ทิ้งตัวตนที่เป็นอยู่แล้วไปหาอันใหม่ จริงๆมันไม่ใช่
แบบนั้น เพราะถึงคุณพยายามที่จะทำสิ่งใหม่ลองทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง ในนั้นมันก็ยังคงมี style
ของคุณอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ คนหลายคนลืมไปว่ามันติดตัวมาตั้งแต่เกิดแล้ว บางทีเราแทบไม่
ต้องค้นหามันเลยด้วยซ้ำ มันอยู่กับเราตลอดเวลาที่เรากำลังดำเนินชีวิต ฉนั้นการทำสิ่งใหม่ลองอะไร
ใหม่ๆที่ไม่ใช่ตัวเอง มันก็สามารถทำให้คุณได้แรงบรรดาลใจใหม่ๆในการใช้ชีวิตในรูปแบบของคุณ
ได้เหมือนกัน ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นกระจกเงาที่สะท้อนให้มองเห็นตัวเราได้ตลอดเวลา ขอเพียง
เรารู้ว่าทัศนคติของเราเป็นอย่างไร เราก็จะเห็นได้ยิ่งชัดเจน
ถ้าเราเข้าใจกฏธรรมชาติพื้นฐานได้เราก็จะเข้าใจกฏของการใช้ชีวิตได้เช่นกัน รูปแบบ
ของเราเราจะไม่ได้เป็นแค่รูปแบบแต่จะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เหมือนกับอวัยวะที่เราสามารถใช้เมื่อไหร่ก็ได้ที่เราต้องการ แต่เมื่อเราสั่งการแล้ว ก็ไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับสิ่ง
รอบข้างเพราะ style ของเราเป็น ส่วนหนึ่งของโลกด้วย ทุกสิ่งล้วนไม่อยู่นิ่ง ล้วนโยกย้ายถ่ายเทและแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเรายึดมากหลงมาก เราก็ยากที่จะเดินต่อไปข้างหน้า มองและชื่นชมแต่สิ่งเดิมๆที่ตนเองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อทำไปนานๆเข้าก็จะเกิดความกลัวเพราะเชื่อไปแล้วว่าตนเองไม่สามารถพัฒนาได้แล้ว เลยเอาสิ่งที่ตนเองทำอยู่ตลอดมาเป็นเกราะเพื่อป้องกันตัวเองจากความคิดของคนอื่นๆที่จะมาขัดแย้งกับตน แต่ในขณะที่คุณไม่ยึดติดกับรูปแบบมากจนเกินไปคุณจะสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้มากขึ้น ยอมรับผู้อื่นได้มาก
ขึ้น มีความกล้าหาญมากขึ้น มีจินตนาการที่มากขึ้น ไม่มีความซ้ำซากจำเจ ปรับตัวได้กับ
ทุกสถานะการณ์ เมื่อคุณเปิด ประตูแห่งรูปแบบที่ไร้ขีดจำกัด ประตูแห่งจักรวาลก็จะเปิด
รับตัวตนของคุณเองด้วย !
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
วิวัฒนาการไร้ขีดจำกัด
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านวันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องที่้เราไม่ค่อยจะพูดถึงนัก
ในสังคมสมัยใหม่เพราะเรามักมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่
ทว่าการได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ คือ ความรู้ที่จะทำให้เราเข้าใจตัวตน และ บรรพ
บุรุษของเรามากยิ่งขึ้นว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร ทุกวันนี้เรามองว่าชีวิต คือ บาง
สิ่งบางอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นมาเองนั้นสำคัญกว่าอะไรในโลก เช่น เงิน
ทรัพย์สมบัติ , งาน , ตำแหน่ง , ลาภ ,ยศ ,ชื่อเสียง และ อำนาจ สิ่งเหล่านี้
เป็นเรื่องของมนุษย์ยุคใหม่ (จริงรึปล่าว?)
จากในตำราเรียนที่เราร่ำเรียนเรื่องของการกำเหนิดของสิ่งต่างๆบนโลก การ
เกิดขึ้นของชีวิตเรา บอกเราว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร พาเรามาจนสังคม
ของมนุษย์กลายเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้
มนุษย์ยังคงมีความเชื่อว่าตนคือศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ตลอดเวลา แม้จะ
พิสูจน์ได้แล้วว่าจักรวาลนั้นกว้างใหญ่มากเกินกว่าที่เราจะศึกษาค้นคว้าได้หมด
เชื่อว่ายังมีพระเจ้าที่มาสร้างเราให้เกิดขึ้นมาบนโลก โดยพระเจ้าก็มีรูปลักษณะ
ที่คล้ายกับเรา และเราคือเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทุกคนกำลัง
สร้างสิ่งที่เรียกว่าเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการสับสนหลงทาง
วิทยาศาสตร์นำความเจริญมาสู่โลกปัจจุบันมากมาย ทำให้ชีวิตของเรากลายเป็น
เหมือนบางสิ่งที่คล้ายพระเจ้า ทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้ (ในมุมมองของมนุษย์)
เราสร้างระบบการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในโลกบัญชาการมันเยี่ยงกับว่าเราคือเจ้า
ของโลกทั้งใบ จะทำอะไรก็ไำด้กับโลกใบนี้ วิทยาศาสตร์พาเราออกไปไกลถึงนอก
โลก ทำให้เราเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ด้วย "สมมุติฐาน"
สมมุติฐาน คือ การตั้งคำถามขึ้นมาหนึ่งคำถามแล้วพยายามหาคำตอบจากมัน
ด้วยการเดาเอาสุ่มๆ หรือการกะเกินด้วยตรรกะว่า โดยใช้ทฤษฎีว่ามันน่าจะเป็น
แบบนี้ แบบนั้น แล้วหาหลักฐานมาบอกเราว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงได้รับการพิสูจน์
แล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชาญฉลาดของโลก
นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเราเกิดขึ้นมาจากวิวัฒนาการ ต่างๆจากเซลล์เล็กๆ
ไปเป็นสัตว์ต่างๆ ไปเป็นลิง จนกระทั่งกลายเป็นคนแบบที่เราเป็นทุกวันนี้ หลาย
อย่างที่เราเรียนรู้มาจนถึงทุกวันนี้ยังคงคลุมเคลือ เพราะยังคงมีหลักฐานประวัติ
ศาสตร์มากมายที่บ่งชี้ไปในแบบสวนทางกับทฤษฎีวิวัฒนาการ มีหลักฐานบาง
ชิ้นถูกพบขึ้นในสมัยที่เก่าแก่กว่ายุคที่มนุษย์เกิด ..
OOPARTS (Out Of Place Artifacts) หรือ "วัตถุเหนือยุค" เป็นวัตถุที่
ไม่น่าจะเกิดขึ้นในยุคนั้นแต่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนเมื่อนานมาแล้วบางชิ้นมีอายุกว่า
2,800 ล้านปี เช่น เครื่องบินเจ็ททองคำในโคลัมเบียร์ ,รูปปั้นและรูปวาดนักบินอวกาศ
ของชาวมายา เป็นต้น มีหลายอยู่หลายชิ้นมากๆครับ ท่านใดที่สนใจลองไปหาข้อมูล
เพิ่มเติมต่อได้เลยครับ
จากหลักฐานหลายอย่างทำให้หนังสือเรียนที่เราเคยเรียนมากลายเป็นแค่
นิทานหลอกเด็กที่เชื่อว่าวิวัฒนาการพาเรามาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้สังคมเรา
มุ่งหวังในสิ่งที่คิดว่าจะทำให้มนุษย์เจริญขึ้นๆ แต่ในเรื่องของจิตใจเรากลับ
ถดถอยลงเรื่องๆ ทุกอย่างเร็วขึ้น ทำให้เราใช้เวลาคิดน้อยลง ตัดสินใจไว
เกินไป สร้างอุปกรณ์ที่ใช้ในการขังความคิดตัวเองและผู้คนบนโลกไว้ลำพัง
ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับความฝัน จินตนาการ และ สันติภาพ การศึกษาทำ
ให้คนมีอำนาจควบคุมมนุษย์ำด้วยกันได้ง่ายขึ้น ระบบต่างๆสร้างมาเพื่อตอบ
สนองความต้องการส่วนตัวที่เรียกว่า "อัตตา"
มนุษย์ไม่เคยทิ้งอัตตาและเชื่ออยู่เสมอว่าตนคือผู้ยิ่งใหญ่และทรงปัญญา
วิชาการที่ดีที่สุดของโลกยุคสมัยใหม่กลับมีแต่ความมืดบอดไม่ต่างไปจาก
ศาสนา แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกันก็คือ "ศรัทธา" ผู้นำของทั้งสองฝ่ายต่างช่วง
ชิงอำนาจในการควบคุมมนุษย์อย่างไม่ลดละ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์
คือ "อัตตา" ความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่ตนคิดมากจนเกินไป
เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากเกินไป จนลืมมองไปว่าเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิต
ที่เล็กมากในจักรวาล อันที่จริงแล้วอัตตาคือที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์หากแต่
เรากลับปฏิเสธมันด้วยเหตุผลนั้น เหตุผลนี่ " วิทยาศาสตร์พิสูน์ได้ทุกอย่าง "
"พระเจ้าสร้างโลกเราต้องเชื่อมั่นในพระเจ้า" เราไม่เคยมองสิ่งต่างๆตามความ
เป็นจริง มุมมองของเรามุ่งออกไปที่สิ่งภายนอกตัวเรา ใช้ขีดความสามารถของ
เรากับสิ่งภายนอก หาข้ออ้างเพื่อมาหักล้างอัตตาของคนอื่น หากแต่แค่เราลด
ตัวตน ลดอัตตาของเราลง เราจะมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนในแบบที่มันเป็น
เรามัวแต่ไปตั้งคำถาม คิดคำตอบ จนลืมมองสิ่งต่างๆตามที่เป็นจริง
ถ้ามนุษย์เรามีวิวัฒนาการที่พัฒนาไปมากจริงๆ ทำไมคนส่วนมากในโลกยังคง
มีความสุขน้อยลง ยิ่งเทคโนโลยี ยิ่งเศรษฐกิจพัฒนาเท่าไหร่ คนก็ยิ่งอดอยาก
มากขึ้น สงครามก็ยังคงมีอยู่มากมาย คนทำงานในระบบที่ไม่มีความสุข รับการ
ศึกษาที่ไม่ได้เอาไปใช้ได้จริงๆในชีวิตประจำวัน สร้างสังคมที่สอนให้ทุกคนร่ำรวย
และมีอำนาจ นี่หรือการพัฒนา วิวัฒนาการทางจิตใจเราหายไปไหน ?
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและปัจจัยในการเกิดขึ้นเสมอ มนุษย์อาจจะเคยฉลาดกว่านี้เมื่อหลาย
ล้านปีมาแล้ว มนุษย์อาจจะเกิดแล้วตายมาแล้วไม่รู้กี่ล้านรอบแล้วก็ได้ หรือเราอาจจะ
ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ใครจะรู้ ? วิวัฒนาการที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของสิ่งต่างๆที่เราสร้าง
ขึ้น วิวัฒนาการคือการพัฒนาจิตใต้สำนึกของตนเองเพื่อลดอัตตาให้น้อยลงต่างหาก
โลกนี้จะอยู่ไม่ได้หากเรายังคงพึ่งพาบางสิ่งที่ไม่ใช่มุมมองที่แท้จริงของตนเอง บางครั้ง
อาจจะไม่ต้องมีเหตุผลมากก็ได้แต่ขอให้เรามี "ศรัทธา" ในทุกสิ่งรอบๆตัวเรา เชื่อว่า
ทุกสิ่งมีค่า ทุกอย่างมีชีวิต และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา
คนทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เมื่อเราคิดได้แบบนี้วิวัฒนาการทางความเป็นมนุษย์
ของเราก็จะเกิดขึ้น เข้าใจสิ่งต่างๆได้มากขึ้น คำถามจะน้อยลง เพราะมันจะกลายเป็น
ความเข้าใจจนไม่ต้องเกิดคำถามกับสิ่งต่างๆ เราสามารถพบพระเจ้าได้โดยไม่ต้องมอง
เห็นตัวตน เพราะทุกคนมีพระเจ้าของตนเอง เพียงแค่เรารู้สึกมัน ทุกอย่างจะอยู่ตรงนั้น
และเป็นเช่นนั้นเอง ..
ปล. ผมไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นศาสนาใดใดการเขียนดังกล่าวเป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นในเรื่องของอัตตาในตัวของมนุษย์ทุกคน เพราะพระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีคำจำกัด ความหรือเรื่องราวเมื่อท่านเชื่อว่ามีท่านก็จะอยู่กับทุกท่านอยู่แล้วโดยที่เราไม่ต้องพูดถึงท่านครับ
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
ในสังคมสมัยใหม่เพราะเรามักมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ แต่
ทว่าการได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ คือ ความรู้ที่จะทำให้เราเข้าใจตัวตน และ บรรพ
บุรุษของเรามากยิ่งขึ้นว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร ทุกวันนี้เรามองว่าชีวิต คือ บาง
สิ่งบางอย่างที่พวกเราสร้างขึ้นมาเองนั้นสำคัญกว่าอะไรในโลก เช่น เงิน
ทรัพย์สมบัติ , งาน , ตำแหน่ง , ลาภ ,ยศ ,ชื่อเสียง และ อำนาจ สิ่งเหล่านี้
เป็นเรื่องของมนุษย์ยุคใหม่ (จริงรึปล่าว?)
จากในตำราเรียนที่เราร่ำเรียนเรื่องของการกำเหนิดของสิ่งต่างๆบนโลก การ
เกิดขึ้นของชีวิตเรา บอกเราว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร พาเรามาจนสังคม
ของมนุษย์กลายเป็นอย่างที่เห็นทุกวันนี้
มนุษย์ยังคงมีความเชื่อว่าตนคือศูนย์กลางของจักรวาลอยู่ตลอดเวลา แม้จะ
พิสูจน์ได้แล้วว่าจักรวาลนั้นกว้างใหญ่มากเกินกว่าที่เราจะศึกษาค้นคว้าได้หมด
เชื่อว่ายังมีพระเจ้าที่มาสร้างเราให้เกิดขึ้นมาบนโลก โดยพระเจ้าก็มีรูปลักษณะ
ที่คล้ายกับเรา และเราคือเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทุกคนกำลัง
สร้างสิ่งที่เรียกว่าเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการสับสนหลงทาง
วิทยาศาสตร์นำความเจริญมาสู่โลกปัจจุบันมากมาย ทำให้ชีวิตของเรากลายเป็น
เหมือนบางสิ่งที่คล้ายพระเจ้า ทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติได้ (ในมุมมองของมนุษย์)
เราสร้างระบบการจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในโลกบัญชาการมันเยี่ยงกับว่าเราคือเจ้า
ของโลกทั้งใบ จะทำอะไรก็ไำด้กับโลกใบนี้ วิทยาศาสตร์พาเราออกไปไกลถึงนอก
โลก ทำให้เราเรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ด้วย "สมมุติฐาน"
สมมุติฐาน คือ การตั้งคำถามขึ้นมาหนึ่งคำถามแล้วพยายามหาคำตอบจากมัน
ด้วยการเดาเอาสุ่มๆ หรือการกะเกินด้วยตรรกะว่า โดยใช้ทฤษฎีว่ามันน่าจะเป็น
แบบนี้ แบบนั้น แล้วหาหลักฐานมาบอกเราว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงได้รับการพิสูจน์
แล้วโดยนักวิทยาศาสตร์ที่ชาญฉลาดของโลก
นักวิทยาศาสตร์บอกเราว่าเราเกิดขึ้นมาจากวิวัฒนาการ ต่างๆจากเซลล์เล็กๆ
ไปเป็นสัตว์ต่างๆ ไปเป็นลิง จนกระทั่งกลายเป็นคนแบบที่เราเป็นทุกวันนี้ หลาย
อย่างที่เราเรียนรู้มาจนถึงทุกวันนี้ยังคงคลุมเคลือ เพราะยังคงมีหลักฐานประวัติ
ศาสตร์มากมายที่บ่งชี้ไปในแบบสวนทางกับทฤษฎีวิวัฒนาการ มีหลักฐานบาง
ชิ้นถูกพบขึ้นในสมัยที่เก่าแก่กว่ายุคที่มนุษย์เกิด ..
OOPARTS (Out Of Place Artifacts) หรือ "วัตถุเหนือยุค" เป็นวัตถุที่
ไม่น่าจะเกิดขึ้นในยุคนั้นแต่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนเมื่อนานมาแล้วบางชิ้นมีอายุกว่า
2,800 ล้านปี เช่น เครื่องบินเจ็ททองคำในโคลัมเบียร์ ,รูปปั้นและรูปวาดนักบินอวกาศ
ของชาวมายา เป็นต้น มีหลายอยู่หลายชิ้นมากๆครับ ท่านใดที่สนใจลองไปหาข้อมูล
เพิ่มเติมต่อได้เลยครับ
นิทานหลอกเด็กที่เชื่อว่าวิวัฒนาการพาเรามาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้สังคมเรา
มุ่งหวังในสิ่งที่คิดว่าจะทำให้มนุษย์เจริญขึ้นๆ แต่ในเรื่องของจิตใจเรากลับ
ถดถอยลงเรื่องๆ ทุกอย่างเร็วขึ้น ทำให้เราใช้เวลาคิดน้อยลง ตัดสินใจไว
เกินไป สร้างอุปกรณ์ที่ใช้ในการขังความคิดตัวเองและผู้คนบนโลกไว้ลำพัง
ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับความฝัน จินตนาการ และ สันติภาพ การศึกษาทำ
ให้คนมีอำนาจควบคุมมนุษย์ำด้วยกันได้ง่ายขึ้น ระบบต่างๆสร้างมาเพื่อตอบ
สนองความต้องการส่วนตัวที่เรียกว่า "อัตตา"
มนุษย์ไม่เคยทิ้งอัตตาและเชื่ออยู่เสมอว่าตนคือผู้ยิ่งใหญ่และทรงปัญญา
วิชาการที่ดีที่สุดของโลกยุคสมัยใหม่กลับมีแต่ความมืดบอดไม่ต่างไปจาก
ศาสนา แต่สิ่งที่ไม่แตกต่างกันก็คือ "ศรัทธา" ผู้นำของทั้งสองฝ่ายต่างช่วง
ชิงอำนาจในการควบคุมมนุษย์อย่างไม่ลดละ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์
คือ "อัตตา" ความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่ตนคิดมากจนเกินไป
เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางมากเกินไป จนลืมมองไปว่าเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิต
ที่เล็กมากในจักรวาล อันที่จริงแล้วอัตตาคือที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์หากแต่
เรากลับปฏิเสธมันด้วยเหตุผลนั้น เหตุผลนี่ " วิทยาศาสตร์พิสูน์ได้ทุกอย่าง "
"พระเจ้าสร้างโลกเราต้องเชื่อมั่นในพระเจ้า" เราไม่เคยมองสิ่งต่างๆตามความ
เป็นจริง มุมมองของเรามุ่งออกไปที่สิ่งภายนอกตัวเรา ใช้ขีดความสามารถของ
เรากับสิ่งภายนอก หาข้ออ้างเพื่อมาหักล้างอัตตาของคนอื่น หากแต่แค่เราลด
ตัวตน ลดอัตตาของเราลง เราจะมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนในแบบที่มันเป็น
เรามัวแต่ไปตั้งคำถาม คิดคำตอบ จนลืมมองสิ่งต่างๆตามที่เป็นจริง
ถ้ามนุษย์เรามีวิวัฒนาการที่พัฒนาไปมากจริงๆ ทำไมคนส่วนมากในโลกยังคง
มีความสุขน้อยลง ยิ่งเทคโนโลยี ยิ่งเศรษฐกิจพัฒนาเท่าไหร่ คนก็ยิ่งอดอยาก
มากขึ้น สงครามก็ยังคงมีอยู่มากมาย คนทำงานในระบบที่ไม่มีความสุข รับการ
ศึกษาที่ไม่ได้เอาไปใช้ได้จริงๆในชีวิตประจำวัน สร้างสังคมที่สอนให้ทุกคนร่ำรวย
และมีอำนาจ นี่หรือการพัฒนา วิวัฒนาการทางจิตใจเราหายไปไหน ?
ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและปัจจัยในการเกิดขึ้นเสมอ มนุษย์อาจจะเคยฉลาดกว่านี้เมื่อหลาย
ล้านปีมาแล้ว มนุษย์อาจจะเกิดแล้วตายมาแล้วไม่รู้กี่ล้านรอบแล้วก็ได้ หรือเราอาจจะ
ไม่ได้มาจากโลกใบนี้ใครจะรู้ ? วิวัฒนาการที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของสิ่งต่างๆที่เราสร้าง
ขึ้น วิวัฒนาการคือการพัฒนาจิตใต้สำนึกของตนเองเพื่อลดอัตตาให้น้อยลงต่างหาก
โลกนี้จะอยู่ไม่ได้หากเรายังคงพึ่งพาบางสิ่งที่ไม่ใช่มุมมองที่แท้จริงของตนเอง บางครั้ง
อาจจะไม่ต้องมีเหตุผลมากก็ได้แต่ขอให้เรามี "ศรัทธา" ในทุกสิ่งรอบๆตัวเรา เชื่อว่า
ทุกสิ่งมีค่า ทุกอย่างมีชีวิต และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา
คนทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เมื่อเราคิดได้แบบนี้วิวัฒนาการทางความเป็นมนุษย์
ของเราก็จะเกิดขึ้น เข้าใจสิ่งต่างๆได้มากขึ้น คำถามจะน้อยลง เพราะมันจะกลายเป็น
ความเข้าใจจนไม่ต้องเกิดคำถามกับสิ่งต่างๆ เราสามารถพบพระเจ้าได้โดยไม่ต้องมอง
เห็นตัวตน เพราะทุกคนมีพระเจ้าของตนเอง เพียงแค่เรารู้สึกมัน ทุกอย่างจะอยู่ตรงนั้น
และเป็นเช่นนั้นเอง ..
ปล. ผมไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นศาสนาใดใดการเขียนดังกล่าวเป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นในเรื่องของอัตตาในตัวของมนุษย์ทุกคน เพราะพระเจ้าไม่จำเป็นต้องมีคำจำกัด ความหรือเรื่องราวเมื่อท่านเชื่อว่ามีท่านก็จะอยู่กับทุกท่านอยู่แล้วโดยที่เราไม่ต้องพูดถึงท่านครับ
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
การควบคุม (Control)
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะมาพูดถึงเรื่องของการ Control (การควบคุม)
จริงๆเรื่องการควบคุมเรียกได้ว่าเป็นหัวใจ ของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องของสติ เป็น
เรื่องของจิตใจ และความสามารถในการควบคุม ความสามารถในด้านต่างๆของเรา
ผมจะพูดถึงเรื่องของการเต้นเป็นหลักแล้วกันครับ เพราะเป็นเรื่องที่ผมถนัดและใช้อยู่
เป็นประจำ การควบคุมในที่นี้ึคือการวางขอบเขตของสิ่งที่เราจะทำ อย่างเช่นว่า เราต้อง
การให้มันเคลื่อนที่ ไปช้า ไปเร็ว หรือ ต้องการหยุดได้ตามต้องการ หยุดจังหวะให้มีความ
ถี่ที่แตกต่างออกไป หยุดแบบถี่มาก หรือ ถี่น้อยๆ (การซอยจังหวะให้ถี่ หรือ ค้างจังหวะไว้)
การควบคุมเป็นทักษะที่ผู้เต้นจะต้องฝึกฝนเป็นประจำตั้งแต่เริ่มเต้นอยู่แล้ว คนที่ไม่สามารถ
ความคุมจังหวะของตนเอง ไม่สามารถควบคุมน้ำหนักในการวางเท้า หรือส่วนต่างๆของ
ร่างกายได้ เขาจะไม่สามารถหยุดตัวเองได้ และจะขาดความ "Flow" (ความต่อเนื่องลื่นไหล)
ไปโดยปริยาย
การ Control ที่ดีมีหลักการที่ดูแสนง่าย คือ แค่เรากำหนดความคิดเพื่อควบคุมส่วนต่างๆ
ของร่างกาย แต่สิ่งที่จะต้องมีนอกเหนือจากความคิดก็คือ การฝึกฝนส่วนต่างๆของร่างกาย
ให้ดำเนินไปตามที่เราคิด เพราะร่างกายและความคิดเป็นคนละส่วนกัน ดังนั้นเราจึงต้องฝึก
ทั้งสองอย่างให้ควบคู่กันไป บางครั้งมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้ร่างกายไม่เป็นไปตามที่เรา
สั่งการเวลาที่ใช้งานจริง ได้แก่
- ฝึกฝนการควบคุมส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายน้อยเกินไป ไม่สามารถเคลื่อนที่
หรือหยุดได้ตามต้องการ
- มีความกดดันในเรื่องของจิตใจที่ส่งผลถึงร่างกายโดยตรง ในขณะที่อยู่สภาวะ
ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อยู่ท่ามกลางการแข่งขัน จิตใจเกิดอาการเครียด ท้อแท้
ทำให้เคลื่อนไปอย่างไม่สบาย เป็นต้น
- สภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า บาดเจ็บ ไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องการจะทำได้อย่างเต็มที่
ด้วยสาเหตุต่างๆไปทำให้เราไม่สามารถทำการควบคุมได้อย่างเต็มที่ บางครั้งจะทำให้เรา
เกิดอาการสะเปะสะปะ ในการเคลื่อนไหว หลุดไปจากที่เีราคิด เรื่องของเรื่องก็คือคนเราชอบ
กำหนดขอบเขต อย่างตั้งใจ และ คาดหวังกับสิ่งที่ตนเองกำหนดขอบเขตเอาไว้ แต่เมื่อเรา
ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานะการได้เราก็จะเกิดอาการ "ช๊อค" (ชะงักงันทางความคิด) ทำให้
สิ่งที่เรารู้สึกไปรบกวนการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ ทำให้การเคลื่อนไหวมีการกระตุก ไม่เป็น
ธรรมชาติ เสียสมดุล วางน้ำหนักผิดพลาด แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น
การควบคุม ไม่ใช่ การบังคับ การควบคุมเป็นเรื่องของคนที่กำลังเลี้ยงวัวในคอก ไม่ใช่
การตีวัวเข้าคอก เราได้แค่เฝ้าดู และ ล้อมคอกเพียงเท่านั้น ไม่ได้เอาไม้ไปตีวัวให้วัว
เกิดความเครียด เพราะเมื่อวัวเกิดความเครียด วัวก็จะไม่อยากให้นม เพราะเราไม่เคย
ให้มันสบายอารมณ์บ้างเลย ในขณะเดียวกันนั้นคุณก็ต้องทำงานมากขึ้นด้วย เนื่องจาก
คุณต้องมานั่งจ้องวัวของคุณไม่ให้เดินไปไหนมัวแต่ระแวงว่าวัวจะหนี ซึ่งอันที่จริงวัวมัน
ก็แค่เดินไปรอบๆคอกของคุณแท้ๆ คุณต่างหากที่เป็นห่วงมากเกินความจำเป็น
หากร่างกายของเราเปรียบเสมือน วัว และ สมองของคุณคือ เด็กเลี้ยงวัว สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่
ปล่อยให้วัวเดินออกกำลังกายบ้าง ล้มบ้าง นอนบ้าง พักกินหญ้าบ้าง วัวของคุณยังไงมันก็ไม่มี
ทางที่จะนอนทั้งวัน หรือ กินหญ้าทั้งวันอยู่แล้ว เพราะวัวมันต้อง " ขยับ " มันเป็นธรรมชาติของ
มันแบบนั้น ตราบใดที่มันยังมีเสียงดนตรีวัวของคุณก็จะไม่ยอมนอนพักง่ายๆ ดังนั้นอย่ากลัวถ้า
มันอยากจะทำอะไรที่มันอยากทำบ้าง แค่นี้คุณก็เป็นคนที่ฉลาดในการควบคุมวัวได้แล้ว
เราต้องฝึกการควบคุมความคิดของเราด้วย ไม่่ใช่แค่เรื่องของร่างกายเพียงอย่างเดียวถ้า จิตใจ
เราไม่พร้อมจะไปที่ไหน จะทำอะไร จะแข่งกับใคมันก็ไม่เคยพร้อมทั้งนั้น การวางขอบเขตในการ
ควบคุมร่างกายต้องเป็นไปอย่างหลวมๆ มีการยืดหยุ่น รู้ว่าตอนไหน สามารถวางขอบเขตได้มาก
แค่ไหน เมื่อมันออกนอกขอบเขตที่เราวางไว้ จะต้องแก้ปัญหาอย่างไร จัดการกับมันอย่างไร
การที่เราจะควบคุมร่างกายของเราได้อย่างอิสระนั้น เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักการเคลื่อนไหวของเรา
ให้หมดเสียก่อน หรืออย่างน้อยพื้นฐานของการเคลื่อนไหวในทุกๆส่วนที่เราต้องใช้ จากนั้นเราจึง
ใช้การวางขอบเขตเพื่อกำหนดจุด ต่างๆให้ร่างกายเราเคลื่อนที่ไปตามต้องการ
นอกเหนือจากนั้นการควบคุมจิตใจจากสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันมีอิทธิพล
กับเราด้วยในทุกที่ๆเราไป จะมากหรือน้อยอยู่ที่สถานะการณ์ อยู่ที่ความแข็งแรงของจิตใจ เพราะจิตใจ
ของเรานอกจากจะวางขอบเขตให้ร่างกายของเราแล้ว เรายังไปวางขอบเขตให้กับคนอื่นๆด้วย มันเป็น
ขอบเขตที่ำำไม่มีที่สิ้นสุด เราพยายามควบคุมความคิดของกรรมการโดยบรรทัดฐานทางความคิดของเรา
คาดหวังว่าคนนั้นจะคิดแบบนั้น คิดแบบนี้ ฝั่งตรงข้ามจะทำอะไรต่อ เขาจะไม่ทำอะไรต่อ ใครจะออก
ต่อไป ใครจะแข่งก่อนแข่งหลัง ใครที่เราจะแข่งกับเขาในรอบต่อไป ในหัวเราเต็มไปด้วยรั้วที่จะไปล้อม
วัวตัวอื่นๆ รวมถึงคนเลี้ยงวัวคนอื่นด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ัวัวของคุณ และคนเลี้ยงวัวเขาก็มีรั้วของเขาที่คุณ
เข้าไปไม่ได้เช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้วเด็กเลี้ยงวัวของอีกคอกหนึ่งจะวิ่งออกมาพร้อมปืนลูกซองไล่ยิง
คุณอย่างไม่ปราณีในฐานะที่คุณพยายามจะเป็นหัวขโมย โดยไม่เจตนา !
ฉนั้นคนอื่นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการเต้นของคุณ ผลการตัดสินไม่ได้ทำให้คุณเปลี่ยน
ไปจากความที่คุณเป็นคุณ (ไม่ใช่เรื่องของความสามารถ) อย่าเข้าไปในคอกวัวของคนอื่น แล้วคุณจะ
เลี้ยงวัวของคุณได้อย่างมีความสุข คุณจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดทุกๆครั้งที่คุณเคลื่อนไหว ส่วนเรื่อง
การขยายคอกวัวก็จะกลายเป็นเรื่องของเวลา และอนาคต ยังไงๆเราก็ต้องขยายคอกวัวอยู่แล้ว เพราะ
วัวของคุณจะแข็งแรงและมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉนั้นอย่าได้ใส่ใจเรื่องวัวๆแบบนั้นไม่งั้นคุณจะ
กลายเป็นวัวเสียเอง ..
ในบางครั้งอารมณ์ของคุณอาจจะไม่เอื้ิออำนวยให้คุณได้เต้น การควบคุมร่างกายก็จะเป็นไปใน
รูปแบบที่จำทน แต่คุณก็สามารถวางเส้นทางให้มันเดินได้เหมือนกัน ไม่ใช่ต้องพึ่งอารมณ์ของคุณ
เพื่อที่จะเต้นเพียงอย่างเดียว เพราะคุณสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญ คุณจะเข้าใจ
ใน ท่าเต้น(move) ,รูปแบบของท่า (form), การต่อท่า (transition) ของคุณเองปัญหาก็คือ
การวางเส้นทางให้มันเดิน บางครั้งอาจใช้ภาพเก่าๆมาเป็นตัวนำทางให้มันเดินทางก็ได้ หรือ
ถ้าคุณต้องการที่จะลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อตัวคุณเอง ก็ลองใช้สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
เหล่านั้นมาเป็นโจทย์ แล้วก็แก้มันไปเรื่อยๆ อารมณ์ในการเต้นของคุณจะกลับมา แต่มันจะเดิน
ทางไปบนเส้นทางใหม่ที่คุณไม่เคยวางให้มันเดินมาก่อน เช่นว่า เจอเพลงจังหวะที่เราไม่ถนัด
เราก็เลยหาวิธีขยับที่แตกต่างแต่ใช้ความรู้ที่เรามีมาเดินทางก็ทำได้ บางครั้งกลับกลายเป็นว่าเป็น
คุณได้ทำอะไรในสิ่งที่คุณไม่เคยทำ ทำให้สไตล์การเต้นของคุณมีสีสันมากขึ้น เป็นการพาวัว
ออกมาเดินเล่นนอกรั้วสูดอากาศซะบ้างจะเป็นไรไป
ั
ปัญหาหลักของการควบคุมร่างกายในการเต้นจริงๆแล้วก็คือ การยึดติด ในความทรง
จำแบบเดิมๆ ความคุ้นชินกับดนตรีจังหวะเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ท่าเต้นเดิมๆ คนเรา
มักจะยึดติดอยู่กับสภาพที่ตนเองคุ้นเคยเพราะคิดว่ามันปลอดภัยกว่า ไม่กล้าที่จะออก
มาจากคอกวัว ไม่ยอมให้วัวเป็นอิสระ ไม่ยอมให้มันมีชีวิต เมื่อไหร่ที่เรารักษาสมดุลทาง
ความคิดและร่างกายได้เมื่อไหร่ เราจะเป็นอิสระได้จริงๆ โลกของเราจะไม่เป็นเหมือนเดิม
โลกทั้งใบจะกลายเป็นคอกวัวของคุณไปโดยปริยาย วัวจะไม่ได้เป็นของคุณ และ
คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของวัว เพราะต่างคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
จริงๆเรื่องการควบคุมเรียกได้ว่าเป็นหัวใจ ของทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเรื่องของสติ เป็น
เรื่องของจิตใจ และความสามารถในการควบคุม ความสามารถในด้านต่างๆของเรา
ผมจะพูดถึงเรื่องของการเต้นเป็นหลักแล้วกันครับ เพราะเป็นเรื่องที่ผมถนัดและใช้อยู่
เป็นประจำ การควบคุมในที่นี้ึคือการวางขอบเขตของสิ่งที่เราจะทำ อย่างเช่นว่า เราต้อง
การให้มันเคลื่อนที่ ไปช้า ไปเร็ว หรือ ต้องการหยุดได้ตามต้องการ หยุดจังหวะให้มีความ
ถี่ที่แตกต่างออกไป หยุดแบบถี่มาก หรือ ถี่น้อยๆ (การซอยจังหวะให้ถี่ หรือ ค้างจังหวะไว้)
การควบคุมเป็นทักษะที่ผู้เต้นจะต้องฝึกฝนเป็นประจำตั้งแต่เริ่มเต้นอยู่แล้ว คนที่ไม่สามารถ
ความคุมจังหวะของตนเอง ไม่สามารถควบคุมน้ำหนักในการวางเท้า หรือส่วนต่างๆของ
ร่างกายได้ เขาจะไม่สามารถหยุดตัวเองได้ และจะขาดความ "Flow" (ความต่อเนื่องลื่นไหล)
ไปโดยปริยาย
การ Control ที่ดีมีหลักการที่ดูแสนง่าย คือ แค่เรากำหนดความคิดเพื่อควบคุมส่วนต่างๆ
ของร่างกาย แต่สิ่งที่จะต้องมีนอกเหนือจากความคิดก็คือ การฝึกฝนส่วนต่างๆของร่างกาย
ให้ดำเนินไปตามที่เราคิด เพราะร่างกายและความคิดเป็นคนละส่วนกัน ดังนั้นเราจึงต้องฝึก
ทั้งสองอย่างให้ควบคู่กันไป บางครั้งมีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้ร่างกายไม่เป็นไปตามที่เรา
สั่งการเวลาที่ใช้งานจริง ได้แก่
- ฝึกฝนการควบคุมส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายน้อยเกินไป ไม่สามารถเคลื่อนที่
หรือหยุดได้ตามต้องการ
- มีความกดดันในเรื่องของจิตใจที่ส่งผลถึงร่างกายโดยตรง ในขณะที่อยู่สภาวะ
ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อยู่ท่ามกลางการแข่งขัน จิตใจเกิดอาการเครียด ท้อแท้
ทำให้เคลื่อนไปอย่างไม่สบาย เป็นต้น
- สภาพร่างกายที่เหนื่อยล้า บาดเจ็บ ไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องการจะทำได้อย่างเต็มที่
ด้วยสาเหตุต่างๆไปทำให้เราไม่สามารถทำการควบคุมได้อย่างเต็มที่ บางครั้งจะทำให้เรา
เกิดอาการสะเปะสะปะ ในการเคลื่อนไหว หลุดไปจากที่เีราคิด เรื่องของเรื่องก็คือคนเราชอบ
กำหนดขอบเขต อย่างตั้งใจ และ คาดหวังกับสิ่งที่ตนเองกำหนดขอบเขตเอาไว้ แต่เมื่อเรา
ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานะการได้เราก็จะเกิดอาการ "ช๊อค" (ชะงักงันทางความคิด) ทำให้
สิ่งที่เรารู้สึกไปรบกวนการเคลื่อนไหวที่เป็นอิสระ ทำให้การเคลื่อนไหวมีการกระตุก ไม่เป็น
ธรรมชาติ เสียสมดุล วางน้ำหนักผิดพลาด แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น
การควบคุม ไม่ใช่ การบังคับ การควบคุมเป็นเรื่องของคนที่กำลังเลี้ยงวัวในคอก ไม่ใช่
การตีวัวเข้าคอก เราได้แค่เฝ้าดู และ ล้อมคอกเพียงเท่านั้น ไม่ได้เอาไม้ไปตีวัวให้วัว
เกิดความเครียด เพราะเมื่อวัวเกิดความเครียด วัวก็จะไม่อยากให้นม เพราะเราไม่เคย
ให้มันสบายอารมณ์บ้างเลย ในขณะเดียวกันนั้นคุณก็ต้องทำงานมากขึ้นด้วย เนื่องจาก
คุณต้องมานั่งจ้องวัวของคุณไม่ให้เดินไปไหนมัวแต่ระแวงว่าวัวจะหนี ซึ่งอันที่จริงวัวมัน
ก็แค่เดินไปรอบๆคอกของคุณแท้ๆ คุณต่างหากที่เป็นห่วงมากเกินความจำเป็น
หากร่างกายของเราเปรียบเสมือน วัว และ สมองของคุณคือ เด็กเลี้ยงวัว สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่
ปล่อยให้วัวเดินออกกำลังกายบ้าง ล้มบ้าง นอนบ้าง พักกินหญ้าบ้าง วัวของคุณยังไงมันก็ไม่มี
ทางที่จะนอนทั้งวัน หรือ กินหญ้าทั้งวันอยู่แล้ว เพราะวัวมันต้อง " ขยับ " มันเป็นธรรมชาติของ
มันแบบนั้น ตราบใดที่มันยังมีเสียงดนตรีวัวของคุณก็จะไม่ยอมนอนพักง่ายๆ ดังนั้นอย่ากลัวถ้า
มันอยากจะทำอะไรที่มันอยากทำบ้าง แค่นี้คุณก็เป็นคนที่ฉลาดในการควบคุมวัวได้แล้ว
เราต้องฝึกการควบคุมความคิดของเราด้วย ไม่่ใช่แค่เรื่องของร่างกายเพียงอย่างเดียวถ้า จิตใจ
เราไม่พร้อมจะไปที่ไหน จะทำอะไร จะแข่งกับใคมันก็ไม่เคยพร้อมทั้งนั้น การวางขอบเขตในการ
ควบคุมร่างกายต้องเป็นไปอย่างหลวมๆ มีการยืดหยุ่น รู้ว่าตอนไหน สามารถวางขอบเขตได้มาก
แค่ไหน เมื่อมันออกนอกขอบเขตที่เราวางไว้ จะต้องแก้ปัญหาอย่างไร จัดการกับมันอย่างไร
การที่เราจะควบคุมร่างกายของเราได้อย่างอิสระนั้น เราจำเป็นที่จะต้องรู้จักการเคลื่อนไหวของเรา
ให้หมดเสียก่อน หรืออย่างน้อยพื้นฐานของการเคลื่อนไหวในทุกๆส่วนที่เราต้องใช้ จากนั้นเราจึง
ใช้การวางขอบเขตเพื่อกำหนดจุด ต่างๆให้ร่างกายเราเคลื่อนที่ไปตามต้องการ
นอกเหนือจากนั้นการควบคุมจิตใจจากสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะมันมีอิทธิพล
กับเราด้วยในทุกที่ๆเราไป จะมากหรือน้อยอยู่ที่สถานะการณ์ อยู่ที่ความแข็งแรงของจิตใจ เพราะจิตใจ
ของเรานอกจากจะวางขอบเขตให้ร่างกายของเราแล้ว เรายังไปวางขอบเขตให้กับคนอื่นๆด้วย มันเป็น
ขอบเขตที่ำำไม่มีที่สิ้นสุด เราพยายามควบคุมความคิดของกรรมการโดยบรรทัดฐานทางความคิดของเรา
คาดหวังว่าคนนั้นจะคิดแบบนั้น คิดแบบนี้ ฝั่งตรงข้ามจะทำอะไรต่อ เขาจะไม่ทำอะไรต่อ ใครจะออก
ต่อไป ใครจะแข่งก่อนแข่งหลัง ใครที่เราจะแข่งกับเขาในรอบต่อไป ในหัวเราเต็มไปด้วยรั้วที่จะไปล้อม
วัวตัวอื่นๆ รวมถึงคนเลี้ยงวัวคนอื่นด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ัวัวของคุณ และคนเลี้ยงวัวเขาก็มีรั้วของเขาที่คุณ
เข้าไปไม่ได้เช่นกัน เพราะสุดท้ายแล้วเด็กเลี้ยงวัวของอีกคอกหนึ่งจะวิ่งออกมาพร้อมปืนลูกซองไล่ยิง
คุณอย่างไม่ปราณีในฐานะที่คุณพยายามจะเป็นหัวขโมย โดยไม่เจตนา !
ไปจากความที่คุณเป็นคุณ (ไม่ใช่เรื่องของความสามารถ) อย่าเข้าไปในคอกวัวของคนอื่น แล้วคุณจะ
เลี้ยงวัวของคุณได้อย่างมีความสุข คุณจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดทุกๆครั้งที่คุณเคลื่อนไหว ส่วนเรื่อง
การขยายคอกวัวก็จะกลายเป็นเรื่องของเวลา และอนาคต ยังไงๆเราก็ต้องขยายคอกวัวอยู่แล้ว เพราะ
วัวของคุณจะแข็งแรงและมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ฉนั้นอย่าได้ใส่ใจเรื่องวัวๆแบบนั้นไม่งั้นคุณจะ
กลายเป็นวัวเสียเอง ..
ในบางครั้งอารมณ์ของคุณอาจจะไม่เอื้ิออำนวยให้คุณได้เต้น การควบคุมร่างกายก็จะเป็นไปใน
รูปแบบที่จำทน แต่คุณก็สามารถวางเส้นทางให้มันเดินได้เหมือนกัน ไม่ใช่ต้องพึ่งอารมณ์ของคุณ
เพื่อที่จะเต้นเพียงอย่างเดียว เพราะคุณสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างเชี่ยวชาญ คุณจะเข้าใจ
ใน ท่าเต้น(move) ,รูปแบบของท่า (form), การต่อท่า (transition) ของคุณเองปัญหาก็คือ
การวางเส้นทางให้มันเดิน บางครั้งอาจใช้ภาพเก่าๆมาเป็นตัวนำทางให้มันเดินทางก็ได้ หรือ
ถ้าคุณต้องการที่จะลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อตัวคุณเอง ก็ลองใช้สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
เหล่านั้นมาเป็นโจทย์ แล้วก็แก้มันไปเรื่อยๆ อารมณ์ในการเต้นของคุณจะกลับมา แต่มันจะเดิน
ทางไปบนเส้นทางใหม่ที่คุณไม่เคยวางให้มันเดินมาก่อน เช่นว่า เจอเพลงจังหวะที่เราไม่ถนัด
เราก็เลยหาวิธีขยับที่แตกต่างแต่ใช้ความรู้ที่เรามีมาเดินทางก็ทำได้ บางครั้งกลับกลายเป็นว่าเป็น
คุณได้ทำอะไรในสิ่งที่คุณไม่เคยทำ ทำให้สไตล์การเต้นของคุณมีสีสันมากขึ้น เป็นการพาวัว
ออกมาเดินเล่นนอกรั้วสูดอากาศซะบ้างจะเป็นไรไป
ั
ปัญหาหลักของการควบคุมร่างกายในการเต้นจริงๆแล้วก็คือ การยึดติด ในความทรง
จำแบบเดิมๆ ความคุ้นชินกับดนตรีจังหวะเดิมๆ บรรยากาศเดิมๆ ท่าเต้นเดิมๆ คนเรา
มักจะยึดติดอยู่กับสภาพที่ตนเองคุ้นเคยเพราะคิดว่ามันปลอดภัยกว่า ไม่กล้าที่จะออก
มาจากคอกวัว ไม่ยอมให้วัวเป็นอิสระ ไม่ยอมให้มันมีชีวิต เมื่อไหร่ที่เรารักษาสมดุลทาง
ความคิดและร่างกายได้เมื่อไหร่ เราจะเป็นอิสระได้จริงๆ โลกของเราจะไม่เป็นเหมือนเดิม
โลกทั้งใบจะกลายเป็นคอกวัวของคุณไปโดยปริยาย วัวจะไม่ได้เป็นของคุณ และ
คุณจะไม่ได้เป็นเจ้าของวัว เพราะต่างคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
ผีหลอกใคร ? ใครหลอกเรา ?
สวัสดีครับท่านผู้อ่านผมหายไปนานเพราะคอมพิวเตอร์เสีย และการงานที่มีมากมายขึ้นใน
ช่วง Hi Season สำหรับอาชีพอย่างผม เป็นอาชีพเต้นกิน รำกิน สอนกิน นอนกิน อะไรแบบนั้น
หวังว่าทุกท่านคงจะมีความสุขในช่วงหน้าร้อนและสงกรานต์ที่ผ่านมานี้นะีึครับ :)
ไม่ได้เขียนซะนานไม่รู้จะเริ่มด้วยเรื่องอะไรดี ช่วงนี้ผมดูหนังผีบ่อยมาก หลายเรื่อง
หนังผีสอนให้เราใช้หลักเหตุผล ให้เรามีสติรู้มากขึ้น รู้จักทางหนีทีไล่ เพราะถ้าเรา
ตกอยู่ในสถานะการณ์แย่ๆแบบนั้นเราคงต้องมีสติมากๆไม่อย่างงั้นคงไม่มีทางรอด
จากเหตุการณ์อันสยองขวัญแบบนั้นมาได้แน่ !
1) คนที่ไม่เชื่อว่ามีผี คิดว่าทุำกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลที่ทำการพิสูจน์ำได้
เสมอ คนพวกนี้ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ จะพิสูจน์ไปจนกว่าตัวจะตาย และ
ไอ้คนพวก นี้มันก็ตายจริงๆ หรือไม่ก็กว่าจะเชื่อว่ามี ก็เกือบตายหรือต้องเสีย
อะไรไปตั้งมากมายแล้วค่อยมาคิดได้ว่า ไอ้ที่เราเจออยู่เนี่ยมันเรียกว่า "ผี" หรือ "ปีศาจ"
2) คนที่เห็นแล้วก็เชื่อทันทีว่ามีผี มองว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือผี คือสิ่งที่อยู่เหนือการ
ควบคุมรู้สึกถูกคุกคามภายในจิตใต้สำนึกที่ลึกๆเชื่อว่ามันมีผีอยู่ ก็ยิ่งไปเอาส่วนนั้น
มาปรุงแต่งให้สติแตกมากขึ้น จนถูกผีฆ่า ไม่ก็เสียสติไปเลย
กระบวนการความคิดของเราบอกว่าผีคือตัวแทนของความกลัว เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย
อยู่เหนือความเข้าใจ อยู่นอกกรอบความคิดของสังคมสมัยใหม่ ที่เชื่อในวิทยาศาสตร์และหลักเหตุ
ผลอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ผีจะเป็นอะไรที่ไม่เป็นรูปธรรม แต่มันก็ยังคงอยู่ในจิตสำนึกลึกๆของ
ทุกคน เพราะอะไรบางอย่างในหนังมันบอกเราว่าวันหนึ่งเราจะเดินทางไปสู้ความตายและกลายเป็น
สิ่งที่เรากลัวที่เรียกว่า "ผี"
ยิ่งคนเรากลัวอะไรมากๆ คนเรายิ่งจะแสดงออกในด้านตรงกันข้าม มากขึ้นๆ มันเป็นกฏของธรรมชาติ
เมื่ิิอเรา้เจอประสบการณ์ที่อยู่เหนือความเข้าใจ จนทำให้เรารู้สึกกลัวสุดขีด มันจะมีอยู๋ช่วงเวลาหนึ่ง
ที่เราจะได้สติและมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาที่อยู่ตรงหน้า แม้วิธีการแก้ปัญหาบางอย่างอาจจะไม่
สมเหตุสมผลมากนักแต่เราก็จำเป็นต้องทำเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ใช้ได้แต่ใจเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหา
ได้ ถ้าเราต้องการควบคุมสถานะการณ์ที่เหนือธรรมชาติ เราจะต้องอยู่นอกเหนือการควบคุมซะก่อน
ในสไตล์ที่เรียกว่าขนาดผีก็เดาไม่ได้ว่าเราจะทำอะไรต่ิอ สุดท้ายเราจะชนะมันด้วยหัวใจที่กล้าหาญ
ของเราหากใช่เรื่องของวิธีการแก้ปัญหาไม่ เพราะเอาจริงๆถ้าเราอยู่ในสถานะการณ์ที่ผีมาไล่ฆ่าเรา
แบบนั้นเราก็คงนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะสู้กับมันได้ยังไง เพราะผีมันอยู่นอกเหนือจากกฏ ถ้าเรากลัว
เราก็กลายเป็นคนที่ถูกคุมโดยกฏ ไม่เป็นอิสระ ไม่มีจินตนาการ การแก้ไขปัญหาที่เต็มไปด้วยความคิด
ปรุงแต่งและความรู้สึกกลัวจึงไม่ทำให้เราผ่านพ้นสิ่งเหล่านั้นไปได้
อย่างน้อยผมมองว่าผีทำให้เรามีความกล้าที่จะต่อสู้กับปัญหาที่จะมาในรูปแบบไหนก็ไม่รู้ในชีวิต
ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับผีที่อยู่ในภาพยนตร์พวกนั้นมากนัก ชีวิตจริงบางครั้งมันก็สยองกว่าในจอเพราะ
มันคือของจริงเจ็บจริงกลัวจริง สติแตกได้จริง ผมไม่ได้หมายถึงผีจริงๆนะ แต่ผมหมายถึงประสบการณ์
ในโลกแห่งความเป็นจริง บางครั้งมันจริงเกินกว่าเราจะต้องการมัน
" ผีหลอกไม่ทำให้ใครตาย แต่ไอ้ที่ตายจริงๆก็เพราะใจมันหลอกใจเอง "
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
ช่วง Hi Season สำหรับอาชีพอย่างผม เป็นอาชีพเต้นกิน รำกิน สอนกิน นอนกิน อะไรแบบนั้น
หวังว่าทุกท่านคงจะมีความสุขในช่วงหน้าร้อนและสงกรานต์ที่ผ่านมานี้นะีึครับ :)
ไม่ได้เขียนซะนานไม่รู้จะเริ่มด้วยเรื่องอะไรดี ช่วงนี้ผมดูหนังผีบ่อยมาก หลายเรื่อง
หนังผีสอนให้เราใช้หลักเหตุผล ให้เรามีสติรู้มากขึ้น รู้จักทางหนีทีไล่ เพราะถ้าเรา
ตกอยู่ในสถานะการณ์แย่ๆแบบนั้นเราคงต้องมีสติมากๆไม่อย่างงั้นคงไม่มีทางรอด
จากเหตุการณ์อันสยองขวัญแบบนั้นมาได้แน่ !
ผมมองเห็นคนอยู่สองประเำภทในหนังผี
1) คนที่ไม่เชื่อว่ามีผี คิดว่าทุำกปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลที่ทำการพิสูจน์ำได้
เสมอ คนพวกนี้ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ จะพิสูจน์ไปจนกว่าตัวจะตาย และ
ไอ้คนพวก นี้มันก็ตายจริงๆ หรือไม่ก็กว่าจะเชื่อว่ามี ก็เกือบตายหรือต้องเสีย
อะไรไปตั้งมากมายแล้วค่อยมาคิดได้ว่า ไอ้ที่เราเจออยู่เนี่ยมันเรียกว่า "ผี" หรือ "ปีศาจ"
2) คนที่เห็นแล้วก็เชื่อทันทีว่ามีผี มองว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือผี คือสิ่งที่อยู่เหนือการ
ควบคุมรู้สึกถูกคุกคามภายในจิตใต้สำนึกที่ลึกๆเชื่อว่ามันมีผีอยู่ ก็ยิ่งไปเอาส่วนนั้น
มาปรุงแต่งให้สติแตกมากขึ้น จนถูกผีฆ่า ไม่ก็เสียสติไปเลย
กระบวนการความคิดของเราบอกว่าผีคือตัวแทนของความกลัว เป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย
อยู่เหนือความเข้าใจ อยู่นอกกรอบความคิดของสังคมสมัยใหม่ ที่เชื่อในวิทยาศาสตร์และหลักเหตุ
ผลอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ผีจะเป็นอะไรที่ไม่เป็นรูปธรรม แต่มันก็ยังคงอยู่ในจิตสำนึกลึกๆของ
ทุกคน เพราะอะไรบางอย่างในหนังมันบอกเราว่าวันหนึ่งเราจะเดินทางไปสู้ความตายและกลายเป็น
สิ่งที่เรากลัวที่เรียกว่า "ผี"
ยิ่งคนเรากลัวอะไรมากๆ คนเรายิ่งจะแสดงออกในด้านตรงกันข้าม มากขึ้นๆ มันเป็นกฏของธรรมชาติ
เมื่ิิอเรา้เจอประสบการณ์ที่อยู่เหนือความเข้าใจ จนทำให้เรารู้สึกกลัวสุดขีด มันจะมีอยู๋ช่วงเวลาหนึ่ง
ที่เราจะได้สติและมีความกล้าที่จะเผชิญปัญหาที่อยู่ตรงหน้า แม้วิธีการแก้ปัญหาบางอย่างอาจจะไม่
สมเหตุสมผลมากนักแต่เราก็จำเป็นต้องทำเพราะมันเป็นประสบการณ์ที่ใช้ได้แต่ใจเท่านั้นถึงจะแก้ปัญหา
ได้ ถ้าเราต้องการควบคุมสถานะการณ์ที่เหนือธรรมชาติ เราจะต้องอยู่นอกเหนือการควบคุมซะก่อน
ในสไตล์ที่เรียกว่าขนาดผีก็เดาไม่ได้ว่าเราจะทำอะไรต่ิอ สุดท้ายเราจะชนะมันด้วยหัวใจที่กล้าหาญ
ของเราหากใช่เรื่องของวิธีการแก้ปัญหาไม่ เพราะเอาจริงๆถ้าเราอยู่ในสถานะการณ์ที่ผีมาไล่ฆ่าเรา
แบบนั้นเราก็คงนึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะสู้กับมันได้ยังไง เพราะผีมันอยู่นอกเหนือจากกฏ ถ้าเรากลัว
เราก็กลายเป็นคนที่ถูกคุมโดยกฏ ไม่เป็นอิสระ ไม่มีจินตนาการ การแก้ไขปัญหาที่เต็มไปด้วยความคิด
ปรุงแต่งและความรู้สึกกลัวจึงไม่ทำให้เราผ่านพ้นสิ่งเหล่านั้นไปได้
อย่างน้อยผมมองว่าผีทำให้เรามีความกล้าที่จะต่อสู้กับปัญหาที่จะมาในรูปแบบไหนก็ไม่รู้ในชีวิต
ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับผีที่อยู่ในภาพยนตร์พวกนั้นมากนัก ชีวิตจริงบางครั้งมันก็สยองกว่าในจอเพราะ
มันคือของจริงเจ็บจริงกลัวจริง สติแตกได้จริง ผมไม่ได้หมายถึงผีจริงๆนะ แต่ผมหมายถึงประสบการณ์
ในโลกแห่งความเป็นจริง บางครั้งมันจริงเกินกว่าเราจะต้องการมัน
ผีทำให้คนที่กลัวสุดขีดลุกขึ้นมาทำอะไรซักอย่างเพื่อแก้ปัญหาที่อยู่้ตรงหน้า ทำลายความเชื่อ
ทำลายกำแพงในตัวเอง กลายเป็นอีกคนที่สามารถช่วยเหลือตัวเองและผู้อื่นได้ ซึ่งถ้าเราปลด
ปล่อยความกลัวเหล่านี้ออกจากจิตใต้สำนึกของทุกคนได้จะทำให้เราทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ
อย่างมีสติ (แต่ต้องอยู่บนศีลธรรมของโลก) ชีวิตของเราก็จะสนุกและเบามากขึ้น ไม่ต้องกลัว
ไม่ต้องห่วงอะไรมากจนเกินไป แม้มันจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง ณ ปัจจุบัน
"ไม่สู้ก็ต้องตาย" นั่นคือคติของหนังผีที่มีผีไล่ฆ่าคน คนเราถูกไล่ล่าทุกวันด้วย ความชรา , โรคภัย
อุบัติเหตุ, การถูกทำร้าย , ความตาย เราล้วนเรียกมันว่า "ผี" มันควบคุมไม่ได้ และมันหลอกหลอน
เราทุกช่วงอายุไขตลอดชีวิตที่เราเกิดมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
" ผีหลอกไม่ทำให้ใครตาย แต่ไอ้ที่ตายจริงๆก็เพราะใจมันหลอกใจเอง "
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556
เกราะป้องกันความโง่ !
สวัสดีครับท่าผู้อ่านที่รักทุกท่าน วันนี้ผมไม่มีเรื่องอะไรจะเล่าให้ฟังแต่แค่อยากจะ
เขียนอะไรเพื่อขัดเกลาจิตใจและสมองของตัวเอง จะได้ไม่ทำอะไรที่ไม่ควรทำ
จริงๆท่านทั้งหลายอาจจะไม่เกี่ยวแต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่เป็น
เหมือนผมในปัจจุบันและอนาคต
ชีวิตคนเราเดินทางมา ทุกๆนาที ทุกๆชั่วโมง ทุกๆวัน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งเราทำอะไร
มากๆก็ยิ่งจะไม่สนใจเรื่องเวลา เพราะคุณมัวแต่ยุ่งกับงาน ความฝัน และ กิจกรรมของคุณ
อยู่ คนเรามีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะในเรื่องดี หรือ เรื่องเลวๆ ผมก็คิดว่ามันคือการ
พัฒนา การที่คนเราต้องยืนหยัดอยู่บนความคิดอะไรสักอย่างมันจำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยที่
ทำให้เขายืนอยู่จุดนั้น ทำอะไรแบบนั้น ผมเรียกมันว่า "หน้าที่" คนทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง
คนเลวมีหน้าที่ลดจำนวนของสิ่งต่างๆ ทำลายสิ่งต่างๆ คนดีมีหน้าที่รักษาสิ่งต่างๆไม่ให้บุบ
สลาย เชื่อว่าทุกคนสำคัญ ทุกสิ่งนั้นสำคัญ โลกของเรามันก็เป็นแค่ละครฉากใหญ่ ที่มีความ
ซับซ้อนของตัวละครที่มีมากมายเกินจะบรรยาย "ทุกสิ่งมีหน้าที่ของตัวมันเอง"
คนทุกคนต้องการพื้นที่ในสังคมเพื่อยืนหยัดอย่างอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องการพื้นที่ใน
การแสดงออกของการกระทำ คำพูด ความคิด เนื้อที่ตรงนี้ไม่ได้มีมากพอไว้เพื่อรองรับทุกคน
การเป็นคนดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเป็นคนเลวนั้นมันต่างกันตรงที่ว่าแค่เราไม่สนใจ ไม่ต้องมี
จิตนึกถึงคนอื่นก็สามารถทำได้แล้ว เนื้อที่ของเลวจึงมีอยู่เพื่อคนที่ไม่เข้าใจในกฏของธรรมชาติ
คนที่ทำอะไรไม่คิดถึงสิ่งรอบข้าง มันก็จะมีพื้นที่ๆน้อยลง ต้องถูกโยกย้ายถ่ายเทโดยธรรมชาติ
ของสิ่งที่ตัวเองอยู่ด้วย คนเลวทำไมถึงไม่ตาย ไม่เลิกเลว เพราะความเลวคือพื้นที่แผ่นเดียวที่
เขาสามารถพึ่งได้ คนดีที่ไม่ให้โอกาสคน คือ คนที่หวงพื้นที่ความดีไว้กับตัว มันก็คือความเห็น
แก่ตัวของคนดี แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นระบบของธรรมชาติ ในตัวคนหนึ่งคนไม่สามารถเลวได้
ซะทุกเรื่อง และไม่สามารถดีได้ซะทุกเรื่อง คนทุกคนมีส่วนผสมของสิ่งเหล่านี้แตกต่างกัน
การเป็นคนเลว คือ การมีพื้นที่ยืนอันไม่พึงประสงค์ของคนดี ดังนั้นถ้าเราเจอคนไม่ดีที่ไม่ยอม
เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เราเข้าใจว่า "เขาอาจจะไม่มีที่ยืนรึป่าว" เพราะเขาอาจจะคิดว่าการยืน
ตรงจุดนั้นมันรู้สึกปลอดภัยกว่า การไม่เข้าไปด่าไปว่าเขาเป็นเรื่องที่สมควรทำ เพราะคุณมีพื้น
ที่ๆสะอาดกว้างขวางกว่าเขาเป็นไหน ทำไมต้องลงไม่ยืนอยู่ในพื้นที่แคบๆสกปรกกับเขาทำไม ?
ด้วยความที่มันแคบก็แออัดอยากจะออกอยู่แล้ว เราก็พยายามจะช่วยขยายที่ให้เขาแต่เขากลับ
ชอบที่แคบๆสกปรกของเขา บ้านใจของเขาเป็นแบบนั้น เขาไม่ต้องการให้คนช่วย เราก็ไม่ต้อง
ไปช่วย ไม่ใช่เราไม่มีน้ำใจ แต่ปัญหาคือเขาไม่ได้ขอ ก็ไม่ต้องไปยุ่ง
การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ผมชอบทำเช่นกัน แต่การช่วยเหลือกนั้นบางครั้ง
ก็ต้องดูคนว่าเข้าของบ้านเขาเป็นยังไง คือเขาอยากทำบ้านใหม่หรือเขาพอใจในสิ่งที่เขามีแล้ว
และคนพวกนี้ กฎของธรรมชาติจะโยกย้ายเขาไปเองไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม มันได้ถูกจัดสรร
ไว้ตั้งแต่แรกแล้วโดยกระบวนการทางธรรมชาติ เพราะฉนั้นการที่เราไปยุ่งด้วย แปลว่าเราอยาก
จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางธรรมชาติที่เขามีฝ่ายดีฝ่ายไม่ีดี คนเราต้องหัดอยู่อย่างกลางๆ
อยู่อย่างพอดีๆ
ความโง่ของคนดีคือ คนโลภความดี หลงความดี ยึดความดีซะจนตัวเองถูกไปหมด เลย
ไม่เข้าใจกฏของธรรมชาติมากมาย มองคนอื่นเลวกว่าตน ทั้งๆที่เขาก็ทำหน้าที่ของเขา
เราก็ทำหน้าที่ของเราไป เมื่อจังหวะคนที่เกี่ยวข้องมาัถึงเราก็จะเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติ
แบบนั้นนี่เอง
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
เขียนอะไรเพื่อขัดเกลาจิตใจและสมองของตัวเอง จะได้ไม่ทำอะไรที่ไม่ควรทำ
จริงๆท่านทั้งหลายอาจจะไม่เกี่ยวแต่ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่เป็น
เหมือนผมในปัจจุบันและอนาคต
ชีวิตคนเราเดินทางมา ทุกๆนาที ทุกๆชั่วโมง ทุกๆวัน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งเราทำอะไร
มากๆก็ยิ่งจะไม่สนใจเรื่องเวลา เพราะคุณมัวแต่ยุ่งกับงาน ความฝัน และ กิจกรรมของคุณ
อยู่ คนเรามีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะในเรื่องดี หรือ เรื่องเลวๆ ผมก็คิดว่ามันคือการ
พัฒนา การที่คนเราต้องยืนหยัดอยู่บนความคิดอะไรสักอย่างมันจำเป็นที่จะต้องมีปัจจัยที่
ทำให้เขายืนอยู่จุดนั้น ทำอะไรแบบนั้น ผมเรียกมันว่า "หน้าที่" คนทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง
คนเลวมีหน้าที่ลดจำนวนของสิ่งต่างๆ ทำลายสิ่งต่างๆ คนดีมีหน้าที่รักษาสิ่งต่างๆไม่ให้บุบ
สลาย เชื่อว่าทุกคนสำคัญ ทุกสิ่งนั้นสำคัญ โลกของเรามันก็เป็นแค่ละครฉากใหญ่ ที่มีความ
ซับซ้อนของตัวละครที่มีมากมายเกินจะบรรยาย "ทุกสิ่งมีหน้าที่ของตัวมันเอง"
คนทุกคนต้องการพื้นที่ในสังคมเพื่อยืนหยัดอย่างอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องการพื้นที่ใน
การแสดงออกของการกระทำ คำพูด ความคิด เนื้อที่ตรงนี้ไม่ได้มีมากพอไว้เพื่อรองรับทุกคน
การเป็นคนดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเป็นคนเลวนั้นมันต่างกันตรงที่ว่าแค่เราไม่สนใจ ไม่ต้องมี
จิตนึกถึงคนอื่นก็สามารถทำได้แล้ว เนื้อที่ของเลวจึงมีอยู่เพื่อคนที่ไม่เข้าใจในกฏของธรรมชาติ
คนที่ทำอะไรไม่คิดถึงสิ่งรอบข้าง มันก็จะมีพื้นที่ๆน้อยลง ต้องถูกโยกย้ายถ่ายเทโดยธรรมชาติ
ของสิ่งที่ตัวเองอยู่ด้วย คนเลวทำไมถึงไม่ตาย ไม่เลิกเลว เพราะความเลวคือพื้นที่แผ่นเดียวที่
เขาสามารถพึ่งได้ คนดีที่ไม่ให้โอกาสคน คือ คนที่หวงพื้นที่ความดีไว้กับตัว มันก็คือความเห็น
แก่ตัวของคนดี แต่อย่างไรก็ตามมันเป็นระบบของธรรมชาติ ในตัวคนหนึ่งคนไม่สามารถเลวได้
ซะทุกเรื่อง และไม่สามารถดีได้ซะทุกเรื่อง คนทุกคนมีส่วนผสมของสิ่งเหล่านี้แตกต่างกัน
การเป็นคนเลว คือ การมีพื้นที่ยืนอันไม่พึงประสงค์ของคนดี ดังนั้นถ้าเราเจอคนไม่ดีที่ไม่ยอม
เปลี่ยนแปลงตัวเองให้เราเข้าใจว่า "เขาอาจจะไม่มีที่ยืนรึป่าว" เพราะเขาอาจจะคิดว่าการยืน
ตรงจุดนั้นมันรู้สึกปลอดภัยกว่า การไม่เข้าไปด่าไปว่าเขาเป็นเรื่องที่สมควรทำ เพราะคุณมีพื้น
ที่ๆสะอาดกว้างขวางกว่าเขาเป็นไหน ทำไมต้องลงไม่ยืนอยู่ในพื้นที่แคบๆสกปรกกับเขาทำไม ?
ด้วยความที่มันแคบก็แออัดอยากจะออกอยู่แล้ว เราก็พยายามจะช่วยขยายที่ให้เขาแต่เขากลับ
ชอบที่แคบๆสกปรกของเขา บ้านใจของเขาเป็นแบบนั้น เขาไม่ต้องการให้คนช่วย เราก็ไม่ต้อง
ไปช่วย ไม่ใช่เราไม่มีน้ำใจ แต่ปัญหาคือเขาไม่ได้ขอ ก็ไม่ต้องไปยุ่ง
การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ผมชอบทำเช่นกัน แต่การช่วยเหลือกนั้นบางครั้ง
ก็ต้องดูคนว่าเข้าของบ้านเขาเป็นยังไง คือเขาอยากทำบ้านใหม่หรือเขาพอใจในสิ่งที่เขามีแล้ว
และคนพวกนี้ กฎของธรรมชาติจะโยกย้ายเขาไปเองไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม มันได้ถูกจัดสรร
ไว้ตั้งแต่แรกแล้วโดยกระบวนการทางธรรมชาติ เพราะฉนั้นการที่เราไปยุ่งด้วย แปลว่าเราอยาก
จะเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางธรรมชาติที่เขามีฝ่ายดีฝ่ายไม่ีดี คนเราต้องหัดอยู่อย่างกลางๆ
อยู่อย่างพอดีๆ
ความโง่ของคนดีคือ คนโลภความดี หลงความดี ยึดความดีซะจนตัวเองถูกไปหมด เลย
ไม่เข้าใจกฏของธรรมชาติมากมาย มองคนอื่นเลวกว่าตน ทั้งๆที่เขาก็ทำหน้าที่ของเขา
เราก็ทำหน้าที่ของเราไป เมื่อจังหวะคนที่เกี่ยวข้องมาัถึงเราก็จะเข้าใจว่ามันเป็นธรรมชาติ
แบบนั้นนี่เอง
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556
Party vibe !
สวัสดีครับท่านผู้อ่านผมไม่ได้เขียนซะนานเลย ช่วงนี้ยุ่งๆอยู่กับงานหลายอย่างเลยไม่ค่อยมี
เวลามาเขียนซักเท่าไหร่ หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะสบายดี มีความสุขกันนะครับ หลายๆคนคง
ปิดเทอมแล้วขอให้ใช้เวลาช่วงนี้ทำในสิ่งที่รักใหุ้สนุกกันนะครับ :)
วันนี้ผมนั่งคุยกับเพื่อนของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้กำกับหนัง เราคุยกันหลายเรื่อง เรื่องเกี่ยวกับ
ชีวิตเกี่ยวกับคน เกี่ยวกับประเทศไทย มีหลายๆอย่างที่เรามองเห็นและเปรียบเทียบกับเมืองนอก
และอีกเรื่องที่เราคุยกัีนก็คือ Party Vibe (กลิ่นอายของปาร์ตี้) ผมและ้เพื่อนของผมได้ผ่านช่วง
เวลาที่ยังมีเพลงดีๆสนุกให้ฟังกันอยู่มากและศิลปินในช่วงนั้นก็ไ้ด้กลายมาเป็นตำนานมาจนถึง
ยุคปัจจุบัน ผมกำลังพูดถึงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนสมัยเรายังเรียนมัธยมกันอยู่ สมัยนั้นเพลง
Hip-Hop 90's ก็กำลังอยู่ในช่วงปลายๆพอดี เพลง Disco และเพลง House ก็กำลังสนุกเลย
ทีเดียว เรากำลังพูดถึงปาร์ตี้สมัยก่อนที่ยังมี คนเต้น Battle กันอยู่ใน Route 66 มีเพลงมันๆ
ให้วาดลวดลายกัน ซึ่งมันสนุกกว่าเพลงสมัยนี้เยอะมากๆ (อาจจะสำหรับพวกเรา 555)
เราคุยกันถึงเรื่อง Freestyle Dancer และคนที่เต้นสู้กันในผับ บรรยากาศแบบธรรมชาติที่
ไม่ต้องมีใครมาบังคับให้ใครต้องแข่งกันเต้น เต้นสู้กันแบบธรรมชาติ แจมกันแบบธรรมชาติ
ซึ่งเดี๋ยวนี้มันห่างหายไปจากเมื่อก่อนมาก คนไม่โยกกันแล้ว แต่ดันมากระโดดกันแทน เพลง
ก็หนักๆเร็วๆ ซ้ำๆ จังหวะเดียว น่าเบื่อมาก การปล่อยของก็ไม่สามารถทำได้เต็มที่เพราะเพลง
มันเร็วสุดๆ สไตล์ของนักเต้นที่เปลี่ยนไปซึ่งผมเรียกยุคปัจจุบันนี้ว่ายุค " วัฒนธรรมวิบัติ "
มันวิบัติยังไงหลายๆคนอาจจะสงสัย มันวิบัติไปตั้งแต่เพลง การแต่งตัว ความเจ๋งของคนเต้น
และิัอะไรหลายๆอย่างซึ่งไปในทางส่งเสริมแต่ด้านธุรกิจมากจนเกินไป บรรยากาศของคนที่มา
ในปาร์ตี้หลายๆคนเต้นไม่เป็นเอาแต่กระโดดแย้วๆ แล้วบอกว่าตัวเองกำลังเต้น Hip-Hop
อันที่จริง Hip-Hop มันไม่มีเพลงแบบนี้ มันคือเพลง Techno ที่มีคนผิวสีมาร้องเป็นเสียง back up
ก็เท่านั้น คนยุคใหม่เสพ มิวสิควีดีโอแบบนั้นมากเกินไป และคิดว่ามันคือการเต้นแบบ Hip-Hop
แต่พวกเขากลับไม่เข้าใจอะไรกันเลย เพราะทุกอย่างถูกรวมกันจนมั่วไปหมดแล้ว !
การเต้นแบบ เข้าคู่ก็น้ิอยลงเพราะคนมัวแต่กระโดด เพลงก็เร็วๆจนเราเหนื่อย คนที่เต้น freestyle
จริงๆก็ไม่อยากมาเต้นที่ผับเพราะรู้ว่าผับมันไม่มีเพลงดีๆให้เต้นเหมือนแต่ก่อน ส่วนคนรุ่นใหม่
ก็เข้าใจว่ามันคือเพลง Hip-Hop เลยเอาไปเต้น ไปโชว์กัน ทั้งๆที่จริงมันไม่ใช่เล้ยยย
นักเต้นเดี๋ยวนี้ freestyle กันไม่เป็น คนที่ทำได้ก็มีอยู่ไม่มาก เป็นปัญหาจริงๆกับสังคมนักเต้น
ของบ้านเรา มีแต่คน Choreography (ออกแบบท่าเต้น) เก่ง คือ คิดท่าเก่ง แต่พอจะให้มา
เต้นตามอารมณ์ตามความรู้สึกตัวเองกลับเต้นไม่เป็น ไปไม่เป็น บางคนเป็นถึงระดับอาจารย์
แต่ก็ไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ตัวเองให้เข้ากับเพลงที่อยู่ตรงหน้าได้ คือ มั่วไม่เป็น กลัว
จะเต้นออกมาไม่ดีีไม่สวย กลัวเสียรุ่น กลัวๆๆไปหมด ผลก็คือพอไปสอนเด็ก เด็กก็ได้แต่ตาม
ไม่มีความมั่นใจในตัวเองถ้าไม่มี set ฉันก็เต้นไม่ได้ เต้นโชว์ตามงานได้แต่พอจะเต้นเพื่อตัวเอง
ในแบบของตัวเองกลับทำไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเอามากๆ เพราะจริงๆพื้นฐานของการออกแบบ
ท่าเต้น มันไม่ได้มาจากสมองเพียงอย่างเดียวมันมาจากอารมณ์การเต้นการปลดปล่อยตัวเอง
มากกว่า แต่เรากลับมองข้ามไปเราเลยล้าหลังกว่าต่างชาติหลายก้าวนัก
คนไทยเป็นนักลอกเลียนแบบที่ีดี แต่ทว่าคนไทยมีความเป็น Original สูงแต่ไม่กล้าทำออกมา
เพราะกลัวไม่เท่ห์ กลัวเสียฟอร์ม กลัวถูกด่า ซึ่งวัฒนธรรมของเราถูกปลูกฝังความกลัวแบบผิดๆ
มาอย่างนี้ตั่งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่รุ่นเก่าก่อน ผมมองว่าถ้าคนเราไม่สามารถปล่อยอารมณ์
และเอาท่าเต้นที่เีรียนรู้มาเต้นได้จริงๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งมาเต้น แต่ถ้า
ไม่มีคำสั่งหุ่นยนต์ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กที่ไม่มีประโยชน์ !
การเต้นไม่ใช่้การคิดแต่เป็นการกระทำที่ต้องอาศัยความรู้สึก เพื่อเชื่อมเข้าหาคนอื่นๆ เป็น
เหมือนอีกภาษาหนึ่งที่สามารถสื่อสารกันข้ามโลกได้ โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย ซึงในปาร์ตี้
มักจะมีกลิ่นอายของความสนุกแบบนั้นอยู่แต่ด้วยนี้มันกลับเลือนหายไป ทุกคนไปผับเพื่อที่จะ
ไปดื่ม แต่พอดื่มกันแล้วกลับไม่มีเพลงดีๆให้เต้น นักเต้นดีๆเขาเลยเบื่อ เพราะมันไม่สนุกอีกต่อไป
ความสนุกเป็นเรื่องแรกที่จะต้องคำนึงถึงในการเต้น หากถ้าคุณเต้นเพื่ออย่างอื่น ความรัก
ของคุณจะหายไป จากความรู้สึกแรกที่คุณรู้จักมัน และสุดท้ายการเต้นก็จะเป็นแค่อะไร
บางอย่างที่ทำให้คุณไม่มีความสุข นั่นแหละทำไมเราถึงยัีงต้องคงคำว่า Party vibe ไว้ :)
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
Jam On It Official Page
https://www.facebook.com/JamOnItParty/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
เวลามาเขียนซักเท่าไหร่ หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะสบายดี มีความสุขกันนะครับ หลายๆคนคง
ปิดเทอมแล้วขอให้ใช้เวลาช่วงนี้ทำในสิ่งที่รักใหุ้สนุกกันนะครับ :)
วันนี้ผมนั่งคุยกับเพื่อนของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้กำกับหนัง เราคุยกันหลายเรื่อง เรื่องเกี่ยวกับ
ชีวิตเกี่ยวกับคน เกี่ยวกับประเทศไทย มีหลายๆอย่างที่เรามองเห็นและเปรียบเทียบกับเมืองนอก
และอีกเรื่องที่เราคุยกัีนก็คือ Party Vibe (กลิ่นอายของปาร์ตี้) ผมและ้เพื่อนของผมได้ผ่านช่วง
เวลาที่ยังมีเพลงดีๆสนุกให้ฟังกันอยู่มากและศิลปินในช่วงนั้นก็ไ้ด้กลายมาเป็นตำนานมาจนถึง
ยุคปัจจุบัน ผมกำลังพูดถึงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนสมัยเรายังเรียนมัธยมกันอยู่ สมัยนั้นเพลง
Hip-Hop 90's ก็กำลังอยู่ในช่วงปลายๆพอดี เพลง Disco และเพลง House ก็กำลังสนุกเลย
ทีเดียว เรากำลังพูดถึงปาร์ตี้สมัยก่อนที่ยังมี คนเต้น Battle กันอยู่ใน Route 66 มีเพลงมันๆ
ให้วาดลวดลายกัน ซึ่งมันสนุกกว่าเพลงสมัยนี้เยอะมากๆ (อาจจะสำหรับพวกเรา 555)
เราคุยกันถึงเรื่อง Freestyle Dancer และคนที่เต้นสู้กันในผับ บรรยากาศแบบธรรมชาติที่
ไม่ต้องมีใครมาบังคับให้ใครต้องแข่งกันเต้น เต้นสู้กันแบบธรรมชาติ แจมกันแบบธรรมชาติ
ซึ่งเดี๋ยวนี้มันห่างหายไปจากเมื่อก่อนมาก คนไม่โยกกันแล้ว แต่ดันมากระโดดกันแทน เพลง
ก็หนักๆเร็วๆ ซ้ำๆ จังหวะเดียว น่าเบื่อมาก การปล่อยของก็ไม่สามารถทำได้เต็มที่เพราะเพลง
มันเร็วสุดๆ สไตล์ของนักเต้นที่เปลี่ยนไปซึ่งผมเรียกยุคปัจจุบันนี้ว่ายุค " วัฒนธรรมวิบัติ "
มันวิบัติยังไงหลายๆคนอาจจะสงสัย มันวิบัติไปตั้งแต่เพลง การแต่งตัว ความเจ๋งของคนเต้น
และิัอะไรหลายๆอย่างซึ่งไปในทางส่งเสริมแต่ด้านธุรกิจมากจนเกินไป บรรยากาศของคนที่มา
ในปาร์ตี้หลายๆคนเต้นไม่เป็นเอาแต่กระโดดแย้วๆ แล้วบอกว่าตัวเองกำลังเต้น Hip-Hop
อันที่จริง Hip-Hop มันไม่มีเพลงแบบนี้ มันคือเพลง Techno ที่มีคนผิวสีมาร้องเป็นเสียง back up
ก็เท่านั้น คนยุคใหม่เสพ มิวสิควีดีโอแบบนั้นมากเกินไป และคิดว่ามันคือการเต้นแบบ Hip-Hop
แต่พวกเขากลับไม่เข้าใจอะไรกันเลย เพราะทุกอย่างถูกรวมกันจนมั่วไปหมดแล้ว !
การเต้นแบบ เข้าคู่ก็น้ิอยลงเพราะคนมัวแต่กระโดด เพลงก็เร็วๆจนเราเหนื่อย คนที่เต้น freestyle
จริงๆก็ไม่อยากมาเต้นที่ผับเพราะรู้ว่าผับมันไม่มีเพลงดีๆให้เต้นเหมือนแต่ก่อน ส่วนคนรุ่นใหม่
ก็เข้าใจว่ามันคือเพลง Hip-Hop เลยเอาไปเต้น ไปโชว์กัน ทั้งๆที่จริงมันไม่ใช่เล้ยยย
นักเต้นเดี๋ยวนี้ freestyle กันไม่เป็น คนที่ทำได้ก็มีอยู่ไม่มาก เป็นปัญหาจริงๆกับสังคมนักเต้น
ของบ้านเรา มีแต่คน Choreography (ออกแบบท่าเต้น) เก่ง คือ คิดท่าเก่ง แต่พอจะให้มา
เต้นตามอารมณ์ตามความรู้สึกตัวเองกลับเต้นไม่เป็น ไปไม่เป็น บางคนเป็นถึงระดับอาจารย์
แต่ก็ไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ตัวเองให้เข้ากับเพลงที่อยู่ตรงหน้าได้ คือ มั่วไม่เป็น กลัว
จะเต้นออกมาไม่ดีีไม่สวย กลัวเสียรุ่น กลัวๆๆไปหมด ผลก็คือพอไปสอนเด็ก เด็กก็ได้แต่ตาม
ไม่มีความมั่นใจในตัวเองถ้าไม่มี set ฉันก็เต้นไม่ได้ เต้นโชว์ตามงานได้แต่พอจะเต้นเพื่อตัวเอง
ในแบบของตัวเองกลับทำไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเอามากๆ เพราะจริงๆพื้นฐานของการออกแบบ
ท่าเต้น มันไม่ได้มาจากสมองเพียงอย่างเดียวมันมาจากอารมณ์การเต้นการปลดปล่อยตัวเอง
มากกว่า แต่เรากลับมองข้ามไปเราเลยล้าหลังกว่าต่างชาติหลายก้าวนัก
คนไทยเป็นนักลอกเลียนแบบที่ีดี แต่ทว่าคนไทยมีความเป็น Original สูงแต่ไม่กล้าทำออกมา
เพราะกลัวไม่เท่ห์ กลัวเสียฟอร์ม กลัวถูกด่า ซึ่งวัฒนธรรมของเราถูกปลูกฝังความกลัวแบบผิดๆ
มาอย่างนี้ตั่งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตั้งแต่รุ่นเก่าก่อน ผมมองว่าถ้าคนเราไม่สามารถปล่อยอารมณ์
และเอาท่าเต้นที่เีรียนรู้มาเต้นได้จริงๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งมาเต้น แต่ถ้า
ไม่มีคำสั่งหุ่นยนต์ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กที่ไม่มีประโยชน์ !
การเต้นไม่ใช่้การคิดแต่เป็นการกระทำที่ต้องอาศัยความรู้สึก เพื่อเชื่อมเข้าหาคนอื่นๆ เป็น
เหมือนอีกภาษาหนึ่งที่สามารถสื่อสารกันข้ามโลกได้ โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย ซึงในปาร์ตี้
มักจะมีกลิ่นอายของความสนุกแบบนั้นอยู่แต่ด้วยนี้มันกลับเลือนหายไป ทุกคนไปผับเพื่อที่จะ
ไปดื่ม แต่พอดื่มกันแล้วกลับไม่มีเพลงดีๆให้เต้น นักเต้นดีๆเขาเลยเบื่อ เพราะมันไม่สนุกอีกต่อไป
ความสนุกเป็นเรื่องแรกที่จะต้องคำนึงถึงในการเต้น หากถ้าคุณเต้นเพื่ออย่างอื่น ความรัก
ของคุณจะหายไป จากความรู้สึกแรกที่คุณรู้จักมัน และสุดท้ายการเต้นก็จะเป็นแค่อะไร
บางอย่างที่ทำให้คุณไม่มีความสุข นั่นแหละทำไมเราถึงยัีงต้องคงคำว่า Party vibe ไว้ :)
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
Jam On It Official Page
https://www.facebook.com/JamOnItParty/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556
ชีวิตคือการเดินทาง
สวัสดีปีใหม่ครับท่านผู้อ่านที่เคารพรักทั้งหลาย ขอให้ทุกท่านมีความสุขสมทุกสิ่งดังปรารถนา
ในชีวิตในด้านต่างๆ และสามารถพัฒนาชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างที่ตนเองหวัง เริ่มปีใหม่
ก็คงจะได้มีอะไีรใหม่ๆในชีวิตที่ไม่เคยพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนใหม่ เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ !
ชีวิตคือการเดินทาง วิถีทางในทุกวันนี้ทั้งที่เราตั้งใจไม่ตั้งใจก็ตามจะพาเราไปที่ไหนซักแห่งซึ่ง
เราคาดไม่ถึง อย่างที่ผมเคยบอกชีวิตมันไม่มีคำว่าฟลุ้คมันมีเหตุมีผลเสมอแค่บางเหตุผลเรา
ไม่รู้ที่มาของมันเท่านั้นเองแต่ไม่ได้แปลว่ามันไม่ได้มีผลกับเรา และเราก็สามารถควบคุมทิศทาง
ในการเดินทางของมันได้ มันอาจจะไปแบบทุลักทุเล หรือ อาจจะพุ่งทยานแบบเกินคาดก็ตาม
มันก็คงมีเหตุและผลของเรา แต่ถ้าเราอึดพอที่จะอยู่ในทิศทางที่เราเลือกแล้ว ยังไงๆมันก็ไปของ
มันต่อได้เสมอ ..
กระแสการใช้ชีวิตของแต่ละคนมีอุปสรรค สิ่งนี้ทำให้คนมากมายเจริญก้าวหน้าและในขณะเดียวกัน
มันก็ทำให้คนบางคนล้มเหลวจนไม่อยากจะเดินต่อ อุปสรรคเป็นสิ่งที่มาทดสอบความอึดในการเดิน
ทางของเราว่าเราอยากจะไปทางนี้จริงๆหรือเปล่าหรือแค่เรานั้นหลอกตัวเอง บางครั้งสิ่งที่คุณชอบ
หรือเลือกเดินก็สามารถพาคุณไปสู่อีกสิ่งที่คุณทำได้ดีกว่าก็เป็นได้ ดังนั้นธรรมชาติของคุณจะพาคุณ
ไปพบมันเอง แต่ไม่ได้แปลว่าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ! ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรคุณก็จะกลายเป็นใบไม้ที่
ไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดตัวคุณไป แต่ถ้าคุณเป็นเรือที่มีไม้พาย มันก็จะต่างออกไปเพราะอย่างน้อย
คุณก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางของมันไม่ให้เรือของคุณไหลลงเหวน้ำตกไปได้
การเดินทางนี้ไม่มีคำว่าสิ้นสุดถ้าคุณใช้เข็มทิศและแผนที่ที่ดีคุณจะพอรู้ว่าควรจะไปทิศไหน จะไป
พบเจออะไรข้างหน้า ถึงจะมองเห็นไม่ชัดมากแค่คุณก็ยังอยู่อย่างมีความหวังที่จะพายเรือไปต่อ
บางครั้งคุณอาจจะพบกับกระแสน้ำวน พายุ เรือชนหินโสโครก แต่คุณก็ยังจะพายและพยายามให้เรือมัน
ไปต่อให้ได้ บนเส้นทางนี้คุณไม่มีทางที่จะรู้ว่าคุณจะไปเจออะไรบ้าง ได้แต่คาดเดา แต่ตราบใดที่คุณ
ยังจับไม้พายอย่างมีสติ คุณก็จะไม่มีวันตายเพราะเรืออัปปางง่ายๆ อันที่จริงแล้วอุปสรรคต่างๆที่เราเจอ
นั้นไม่ใ่ช่ปัญหาที่แท้จริงของเราหากแต่เป็นเพียงใจของเรามันยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเชื่อว่ามันจะผ่าน
ไปได้ ความกลัว ความกังวล ความฟุ้งซ่าน มันจะเกาะกินจิตใจของเราจนเราไม่อยากที่จะจับไม้พายต่อ
จนบางครั้งลืมไปว่าถ้าเราปล่อยไม้พายลงไปในน้ำ เราก็จะไม่ต่างอะไรไปจากใบไม้ที่ถูกน้ำพัดเลย
ปัญหาเข้ามาสอบอารมณ์เรา สอบใจเรา สอบทักษะเรา สอบความจริงใจของสิ่งที่เราทำ ว่าเราแน่
จริงรึปล่าว ถ้าเรายังแน่นพอยังไงเราก็ต้องพายไปจนพบจุดหมายที่เราคาดไว้แน่ๆ ถึงแม้มันจะไม่มี
แผ่นดินให้ไปเลย แต่อย่างน้อยเราก็มีความรู้ที่จะอยู่รอดในกระแสน้ำอันกว้างใหญ่นี้โดยที่ไม่ต้องกลัว
อันตรายใดใดแล้ว อาวุธที่แท้จริงในการต่อสู้มันอยู่ในตัวเราทั้งสิ้นแค่เราเอาออกมันมาใช้มากแค่ไหน
มากกว่า ความคิด ความกลัว ความฟุ้งซ่าน มักจะมาขวางกั้นใจเราเสมอ ยังไงๆถ้าจะไปก็ต้องจับพาย
ถ้าปล่อยไปแล้วไม่ตายก็ต้องมีวิธีอื่นที่จะเอาเรือลำนี้เิดินทางไปให้ได ถ้าวันนี้คุณกำลังอยู่บนเรืออยู่
ก็จงอย่าได้กลัวที่จะเดินหน้าต่อไป แต่ถ้าคุณกำลังหาไม้พายอยู่ ก็อย่ามัวแต่เลือกไม้พายว่าเรา
ถนัดอันนี้ อันนี้ไม่ยาวพอ อันนี้ไม่สวย อันนี้ไม่มีที่จับ อย่ามัวแต่เลือกจนลืมพายเรือ อย่าลืม
ว่าไม้พายอันไหนก็สามารถพายเรือให้ไปข้างหน้าได้เหมือนกัน ไอ้สิ่งที่สำคัญจริงๆมันอยู่ที่ตัว
คนพายไม่ใช่ไม้พายต่อให้คุณมีพายที่วิเศษแต่ไหนแต่ถ้าคนพายไม่อยากพาย ไม้พายเรือมันก็ไม่มี
ประโยชน์อยู่ดี ดังนั้น พายไปก่อน แล้วค่อยมาเลือกไม้ทีหลังก็ยังไม่สายเพราะยังไงข้างหน้ามีอะไร
ที่รออยู่และสำคัญกว่าไม้พายที่เราเลือกมากๆ ยังไงผมก็ขออวยพรให้ทุกท่านพายไปให้ถึงฝั่งและ
อย่าหยุดเดินทาง ขอให้ทุกท่านสนุกกับการเดินทางในทุกที่ที่ท่านไปครับผม :)
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
Jam On It Official Page
https://www.facebook.com/JamOnItParty/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
ในชีวิตในด้านต่างๆ และสามารถพัฒนาชีวิตไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างที่ตนเองหวัง เริ่มปีใหม่
ก็คงจะได้มีอะไีรใหม่ๆในชีวิตที่ไม่เคยพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนใหม่ เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าเนอะ !
ชีวิตคือการเดินทาง วิถีทางในทุกวันนี้ทั้งที่เราตั้งใจไม่ตั้งใจก็ตามจะพาเราไปที่ไหนซักแห่งซึ่ง
เราคาดไม่ถึง อย่างที่ผมเคยบอกชีวิตมันไม่มีคำว่าฟลุ้คมันมีเหตุมีผลเสมอแค่บางเหตุผลเรา
ไม่รู้ที่มาของมันเท่านั้นเองแต่ไม่ได้แปลว่ามันไม่ได้มีผลกับเรา และเราก็สามารถควบคุมทิศทาง
ในการเดินทางของมันได้ มันอาจจะไปแบบทุลักทุเล หรือ อาจจะพุ่งทยานแบบเกินคาดก็ตาม
มันก็คงมีเหตุและผลของเรา แต่ถ้าเราอึดพอที่จะอยู่ในทิศทางที่เราเลือกแล้ว ยังไงๆมันก็ไปของ
มันต่อได้เสมอ ..
กระแสการใช้ชีวิตของแต่ละคนมีอุปสรรค สิ่งนี้ทำให้คนมากมายเจริญก้าวหน้าและในขณะเดียวกัน
มันก็ทำให้คนบางคนล้มเหลวจนไม่อยากจะเดินต่อ อุปสรรคเป็นสิ่งที่มาทดสอบความอึดในการเดิน
ทางของเราว่าเราอยากจะไปทางนี้จริงๆหรือเปล่าหรือแค่เรานั้นหลอกตัวเอง บางครั้งสิ่งที่คุณชอบ
หรือเลือกเดินก็สามารถพาคุณไปสู่อีกสิ่งที่คุณทำได้ดีกว่าก็เป็นได้ ดังนั้นธรรมชาติของคุณจะพาคุณ
ไปพบมันเอง แต่ไม่ได้แปลว่าคุณไม่ได้ทำอะไรเลย ! ถ้าคุณไม่ได้ทำอะไรคุณก็จะกลายเป็นใบไม้ที่
ไหลไปตามกระแสน้ำที่พัดตัวคุณไป แต่ถ้าคุณเป็นเรือที่มีไม้พาย มันก็จะต่างออกไปเพราะอย่างน้อย
คุณก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนทิศทางของมันไม่ให้เรือของคุณไหลลงเหวน้ำตกไปได้
การเดินทางนี้ไม่มีคำว่าสิ้นสุดถ้าคุณใช้เข็มทิศและแผนที่ที่ดีคุณจะพอรู้ว่าควรจะไปทิศไหน จะไป
พบเจออะไรข้างหน้า ถึงจะมองเห็นไม่ชัดมากแค่คุณก็ยังอยู่อย่างมีความหวังที่จะพายเรือไปต่อ
บางครั้งคุณอาจจะพบกับกระแสน้ำวน พายุ เรือชนหินโสโครก แต่คุณก็ยังจะพายและพยายามให้เรือมัน
ไปต่อให้ได้ บนเส้นทางนี้คุณไม่มีทางที่จะรู้ว่าคุณจะไปเจออะไรบ้าง ได้แต่คาดเดา แต่ตราบใดที่คุณ
ยังจับไม้พายอย่างมีสติ คุณก็จะไม่มีวันตายเพราะเรืออัปปางง่ายๆ อันที่จริงแล้วอุปสรรคต่างๆที่เราเจอ
นั้นไม่ใ่ช่ปัญหาที่แท้จริงของเราหากแต่เป็นเพียงใจของเรามันยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเชื่อว่ามันจะผ่าน
ไปได้ ความกลัว ความกังวล ความฟุ้งซ่าน มันจะเกาะกินจิตใจของเราจนเราไม่อยากที่จะจับไม้พายต่อ
จนบางครั้งลืมไปว่าถ้าเราปล่อยไม้พายลงไปในน้ำ เราก็จะไม่ต่างอะไรไปจากใบไม้ที่ถูกน้ำพัดเลย
ปัญหาเข้ามาสอบอารมณ์เรา สอบใจเรา สอบทักษะเรา สอบความจริงใจของสิ่งที่เราทำ ว่าเราแน่
จริงรึปล่าว ถ้าเรายังแน่นพอยังไงเราก็ต้องพายไปจนพบจุดหมายที่เราคาดไว้แน่ๆ ถึงแม้มันจะไม่มี
แผ่นดินให้ไปเลย แต่อย่างน้อยเราก็มีความรู้ที่จะอยู่รอดในกระแสน้ำอันกว้างใหญ่นี้โดยที่ไม่ต้องกลัว
อันตรายใดใดแล้ว อาวุธที่แท้จริงในการต่อสู้มันอยู่ในตัวเราทั้งสิ้นแค่เราเอาออกมันมาใช้มากแค่ไหน
มากกว่า ความคิด ความกลัว ความฟุ้งซ่าน มักจะมาขวางกั้นใจเราเสมอ ยังไงๆถ้าจะไปก็ต้องจับพาย
ถ้าปล่อยไปแล้วไม่ตายก็ต้องมีวิธีอื่นที่จะเอาเรือลำนี้เิดินทางไปให้ได ถ้าวันนี้คุณกำลังอยู่บนเรืออยู่
ก็จงอย่าได้กลัวที่จะเดินหน้าต่อไป แต่ถ้าคุณกำลังหาไม้พายอยู่ ก็อย่ามัวแต่เลือกไม้พายว่าเรา
ถนัดอันนี้ อันนี้ไม่ยาวพอ อันนี้ไม่สวย อันนี้ไม่มีที่จับ อย่ามัวแต่เลือกจนลืมพายเรือ อย่าลืม
ว่าไม้พายอันไหนก็สามารถพายเรือให้ไปข้างหน้าได้เหมือนกัน ไอ้สิ่งที่สำคัญจริงๆมันอยู่ที่ตัว
คนพายไม่ใช่ไม้พายต่อให้คุณมีพายที่วิเศษแต่ไหนแต่ถ้าคนพายไม่อยากพาย ไม้พายเรือมันก็ไม่มี
ประโยชน์อยู่ดี ดังนั้น พายไปก่อน แล้วค่อยมาเลือกไม้ทีหลังก็ยังไม่สายเพราะยังไงข้างหน้ามีอะไร
ที่รออยู่และสำคัญกว่าไม้พายที่เราเลือกมากๆ ยังไงผมก็ขออวยพรให้ทุกท่านพายไปให้ถึงฝั่งและ
อย่าหยุดเดินทาง ขอให้ทุกท่านสนุกกับการเดินทางในทุกที่ที่ท่านไปครับผม :)
อยากหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรม Hip-Hop และข่าวสารในวงการเต้น
B-boy ,B-girl , Freestyle และ Streetdance สนใจติดต่อเราเพื่อเรียนเต้นหรือจ้าง
งานกับทีมงานระดับมืออาชีพ ได้แชมป์จากในปละต่างประเทศมากมาย !
Free Soul Studio
https://www.facebook.com/freesoulstudio/
http://www.FreeSoulStudio.com/
Jam On It Official Page
https://www.facebook.com/JamOnItParty/
หรือติดตามข่าวสารจากตัวผู้เขียนด้วยการ
กด Follow หรือ กด Like ได้ที่นี่ครับ !
https://www.facebook.com/bboycheno99flava/
https://www.facebook.com/cheno.ninetynineflava/
*** สามารถฟังเพลง Funk Soul Oldschool Breakbeat ในเพลลิสของผมได้ครับ ;) ***
https://www.youtube.com/watch?v=hZpCrdU4iRY&list=PLIbVSuaC_0rxkmRoFBrHQOpaudnfDuGo5
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)