วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

สงคราม " ความคิด "

สวัสดีครับท่านผู้อ่านไม่ได้อัพซะหลายวัน วันนี้อยากจะมาคุยเรื่องของค่านิยม
ในสังคมของเรากับวิถีความเปลี่ยนแปลงไปของโลกใบนี้ ที่บ้านเราสวนทางกันจริงๆ


ช่วงนี้ผมเห็นคลิปประท้วงบ่อยๆ ในประเทศโซนยุโรปทั้ง สเปน กรีซ โปรตุเกต หลายๆ
ที่ในโซนยุโรปเขาก็ประท้วงกันเรื่องเศรษฐกิจในประเทศ ไม่มีงานทำ การจ้างงานน้อย
เศรษฐกิจก็แย่ลง เพราะยุโรปของแพงทุกอย่าง การใช้ชีวิตลำบากถ้าขาดงานการ
หลายๆอย่างเริ่มไม่เถียร มันส่งผลกระทบกันไปหมด ชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามา
แสวงหางาน ที่อยู่อาศัยในเอเชียมากขึ้น ประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ย่าอยู่มากๆ
ในบรรดาหลายๆประเทศในเอเชีย อาหารไม่แพง ที่พักไม่แพ่ง ที่ดินที่พักซื้อได้ สามารถ
เป็นเจ้าเข้าเจ้าของได้ ไม่เหมือนกับในประเทศยุโรปที่จะต้องเช่าเขาอยู่ ส่วนคนที่สามารถ
ซื้อบ้านหรือที่ดินได้ก็ต้องมีเงินมากจริงๆ บนความหรูหรา บนเมืองที่สวยงามตามที่เรา
เห็นในสื่อทีวี หนังสือ โทรทัศน์ หรือ อินเตอร์เน็ท ดูน่าอยู่อาศัยน่าไปใช้ชีิวิต ของใช้
ก็เป็นของที่มีคุณภาพ ราคาสูง แบรนด์เนม ดูคุณภาพชีวิตของชาวยุโรปดีกว่าของคน
เอเชียมากหลายเท่า แต่ทว่าเศรษฐกิจระบบทุนนิยมที่ใช้ในโลกปัจจุบันนี้มันเริ่มจะไป
ไม่ไหวแล้ว ชีวิตที่สมบูรณ์แบบมีสวัสดิการ มีเงินบำเน็จบำนาญ มีการดูแลการศึกษา
และหลายๆอย่างให้ประชาชน รัฐบาลของแต่ละประเทศก็เริ่มจะเอาไม่อยู่ ..


 หลังจากสงครามโลกหลายๆครั้งของมนุษย์ทำให้มนุษย์ูสูญเสียอะไรไปหลายอย่าง
ทั้งฝ่ายที่ดีและไม่ดี เลยมีการคิดวิธีรบแบบใหม่ขึ้นมา เรียกว่า "สงครามเศรษฐกิจ"
ซึ่งสงครามนี้ไม่ได้ใช้อาวุธ แต่ใช้ "เงินลงทุน" มาเป็นอาวุธแทน ประเทศไหนช้าไม่
รู้จากหาอาวุธก็ต้องเป็นฝ่ายที่ตกต่ำอยู่ลำบาก เป็น "หนี้" หรือตกเป็นทาสของฝ่ายที่
เหนือกว่าในด้านการเงิน สงครามนี้เกิดขึ้นหลังจากมนุษย์สร้างความสงบให้กับชีวิต
และสร้างเป็นระบบสังคมขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองในด้านต่างๆ


ต่อมามนุษย์เริ่มฉลาดขึ้นอีก เกิดยุคปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร ความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์
และอินเตอร์เน็ท กลายเป็นอาวุธชนิดใหม่ที่หลายๆประเทศหันมาใช้ ในยุคนี้ไม่มีความลับ
บนโลก อยากรู้อะไรรู้ อยากเห็นอะไรเห็น ใครครอบครองความคิดของคนอื่นได้ชนะ
ใช้เทคโนโลยีมาความคุมสิ่งที่เรียกว่า " ความคิด " 


ประเทศจีนเป็นประเทศหนึ่งที่ไม่สามารถใช้ Facebook และ  Youtube ได้ จะใช้ทีก็ต้อง
ใช้โปรแกรม hack IP ทีนึง ผมเข้าใจความคิดของผู้นำประเทศที่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออาวุธ
ที่อันตรายที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก ดังนั้นเขาจึง block ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความมั่นคง
ของคนในประเทศชาติ ..


ยกตัวอย่างซักตัวอย่างหนึ่ง สมมุติว่าประเทศสหรัฐอเมริกา ต้องการจะทำสงครามเพราะ
ประเทศไม่มีเงินแล้ว .. ปล่อยข่าวออกมาว่าแกนโลกเอียง น้ำจะท่วมเอเชีย โดย
ใช้ข้อมูลข่าวสารทางวิทยาศาสตร์(ปลอมๆ) แล้วใช้อินเตอร์เน็ทเป็นสื่อกลาง ทีนี้อะไร
จะเกิดขึ้น ทุกคนจะต้องกลัว นักลงทุนเริ่มมีความกังวล เทขายหุ้น หลายคนเลิกลงทุน
เพราะกลัวจะเสียเงิน คนอพยพ หนีไปประเทศอื่นที่ปลอดภัย ประเทศแถบเอเชียพังลง
ในพริบตาด้วยข้อมูลข่าวสารผิดๆ แล้วก็ออกมาประกาศตอนหลังว่า เป็นความผิดพลาด
ทางข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ของเรา เราขออกมาแสดงความเสียใจกับข่าวสารเหล่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศเล็กๆพังได้ในพริบตา ผมก็ไม่ใช่นักวิชาการอะไร แต่ผมมองว่า
อินเตอร์เน็ทนั้นมีประโยชน์แต่ก็อันตราย สร้างความเสียหายให้ระบบเศรษฐกิจ ได้ไม่น้อย
เพียงแค่ปล่อยข่าว .. แล้วพอคนลืมก็เอาใหม่ ใช้สื่อต่างๆสร้างความเชื่อถือ บนเรื่องหลอก
ลวง เหมือนเรื่องของ โครงการ KONY 2012 ที่เจ้าของโครงการต้องการให้ทุกคนเข้ามา
ร่วมจับคนที่ชื่อ Joseph Kony ซึ่ง ที่ฆ่าและทารุณเป็นจำนวนมากเด็ก เป็นผู้ก่อการร้ายที่
อาศัยอยู่ในประเทศอุกันด้า โดนการให้ทุกคนทำป้าย KONY 2012 และกระจายไปทั่วเมือง
ในวันที่กำหนด เป็นโครงการในอินเตอร์เน็ทผ่าน Youtube เป็นอะไรที่คนหลายประเทให้ความสนใจ
และร่วมโครงการเยอะมากจนกระทั่ง วันหนึ่งที่มีคนอุกันด้าออกมาพูดว่า " ทำไมต้องเอาชื่อของชาย
คนนี้มาประกาศเอามาเหมือนเฉลิมฉลองทั้งๆที่เขาอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นเขาไม่ได้มีความสุขเลยที่หลายๆคนทั่วโลกทำแบบนั้น " และกระแสข่าวที่ไม่ดีก็เริ่มๆโผล่ออกมา มีรูปของชายผู้ก่อตั้งโครงการ

ถือปืนอยู่ในรูปของกลุ่มอีกกลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายตัวจริง ไม่ใช่ KONY แต่เป็นอีกคน
โดยมีรัฐบาลอเมริกาคอยสนับสนุนเรื่องของอาวุธ แลกเปลี่ยนกับทรัพยาการในประเทศแอฟริกา
เช่น เพชร และ น้ำมัน !


สื่ออินเตอร์เน็ทนั้นเป็นอาวุธที่เหลือเชื่อ เพราะมันสามารถครอบครองความคิดของคุณเป็น
อาุวุธที่ทรงพลังยิ่งกว่าระเปิดปรมณู ใครควบคุมความคิดคนในโลกให้เป็นแบบไหนได้คนนั้น
ก็ได้ครอบครองผู้คน เหมือนถ้าทุกคนเชื่อว่าโลกจะแตก โลกมันก็จะแตกเพราะความคิดของ
ทุกๆคนเอง แน่นอนความบ้าคลั่งและโกลาหนจะเกิดขึ้น !



 VDO KONY2012 ที่เป็นที่ฮือฮาบน internet
คุณเชื่อหรือไม่ว่ามันเป็นเรื่องโกหก ? 
(มีซับไทยด้วย ชาวไทยเอ้ยทีเรื่องแบบนี้ไม่เห็นพูดถึงโดนฝรั่งเขาหลอกง่ายจัง ! )



ความจริงคือ Kony ตายไปแล้วแล้วอะไรอยู่เบื้องหลังโครงการที่ว่านี่ล่ะ ?




แต่อย่างไรก็ตาม อาวุธชนิดนี้ก็มีประสิทธิภาพในการช่วยโลกได้เช่นกัน ถ้าเราโพสแต่สิ่งทีดี 
ความคิดคนก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอาจจะไม่ดีทันมีแต่จะค่อยๆซึมซับจนมันดีขึ้นเรื่อยๆ
และออกมาในแง่ของการกระทำ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยกันปลูกต้นไม้รักโลกมากขึ้น
รู้จักพึ่งตัวเอง หาข้อมูลเพื่อพัฒนาความคิดตนเองในทางที่ถูกต้อง มันไม่ใช่เึครื่องมือสำหรับ
ความเกลียดชังเสมอไป แต่มันยังเป็นเครื่องมือในการแชร์ความสุขความคิด จินตนาการ
ได้ด้วย เราทุกคนมีสิ่งนี้อยู่ในมือทำไมเราไม่ร่วมกันแบ่งปันสิ่งดีๆ เว็บดีๆ สถานะดีๆ วีดีโอดีๆ
 แม้อาจจะต้องใช้วิจารณญาณมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่ก็ดีกว่าแบ่งปันเรื่องไม่ดี มันทำใหุ้สุขภาพจิตคนบนโลกเสียไปตามๆกัน เรามาใช้อาวุธความคิดนี้ในทางที่เปลี่ยนแปลงโลก
ให้ดีขึ้นดีกว่าครับ :)   






วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

ที่มาที่ไปของ JAM ON IT




   

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านวันนี้จะมาเล่าเรื่องที่มาที่ไปของงาน Jam On It ให้ฟังครับผม
มันมายังไง มันคืออะไร ทำไมต้อง Jam ล่ะ มันเสียเงินนะ มันมีประโยชน์หรอ ใครจะไปงาน ?
ใครยังไม่รู้จักงานนี้ผมขออธิบายให้ฟังกันในนี้ไปเลยครับผม






เริ่มต้นไอเดียของงานนี้ได้แรงบรรดาลใจมาจากงาน Keep Fresh Festival ที่ผมเคยจัดเมื่อนาน
มาแล้ว เนื่องจากผมเป็นคนชอบเต้น ชอบ Cypher (การยืนล้อมเป็นวงกลมแล้วเต้นตรงกลาง)
งานนี้จะเป็นงานที่เปิดเพลงให้เต้นกันตลอด 4 ชั่วโมง โดยมีทั้ง Exhibition battle หรือ Battle
คู่พิเศษเพื่อความสนุกสนาน โดยไม่มีเงินรางวัล นอกเหนือจากนั้นก็มีการแข่ง


Toprock Battle  - เป็นการแข่งเต้นรูปแบบหนึ่งของ B-boy โดยจะเต้นเฉพาะท่าบนไม่มี
                            การลงไปเต้นด้านล่างเลย โดยมีท่าพื้นฐานที่ B-boy ใช้และเพิ่มสไตล์ 
                            และ รสชาติของตัวเองลงไปในการ Toprock


Powermove Battle - เป็นการแข่งท่าหมุนๆ ที่เราเคยเห็นกันจะวัดกันที่ความคิดสร้างสรรค์
                                  ความสมบูรณ์ของภาพรวม รวมไปถึงการฟังเพลงเก็บจังหวะ ท่าก็
                                 จะมีหลากหลาย มีทั้ง หมุนหัว หมุนตัว กลิ้ง บิน ต่างๆนานาครับ


ในงานนี้มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากให้ คือ รางวัลพิเศษสำหรับคนที่สดที่สุดในงาน เรียกว่า
" Fresh Award " โดย มี กรรมการมาจาก ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นคนเหลือ B-girl Jeskilz




                                                     B-girl Jeskilz [USA]          




                                                        
             ผู้ได้รับรางวัล Fresh Award B-boy First floor [Pirate cabin crew]




งานนี้ไม่ได้มี Sponsor อะไรมากมายผมควักกระเป๋าเองซะส่วนมากเจ็บหนักเหมือนกันงานนั้น
แต่งานก็ดำเนินไปได้ด้วยดี คนมาไม่มากแต่ก็ไม่น้อย เป็นงานที่สนุกมากและยังอยู่ในความทรงจำ
ของผมจนถึงทุกวันนี้แม้จะผ่านมาหลายปีมากแล้ว น่าจะประมาณปี 2008 นะครับถ้าผมจำไม่ผิด

VDO ตัวอย่างงาน Keep Fresh Festival
http://www.dailymotion.com/video/x6sgyv_keep-fresh-festival_music?search_algo=2


หลังจากงานนั้นผมก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ จนกระทั่งมีงาน Cypher Adikts ของ B-girl Jeskilz เธอ
อยากมาจัดที่เมืองไทย เมื่อเธอถามมาผมก็สนองไป เริ่มจัดกันเหมือนที่เคยเป็นมาโดยทุกคนที่
มาอายุไม่ถึง 18 ปี ก็สามารถเข้าได้ สถานที่ใหญ่โตมากจนกระทั่งมันดูโล่งไปเลย แม้คนจะมาถึง
70 กว่าคนก็ตาม และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากกลับมาจัดงานแจมอีกครั้ง ..




 JAM ON IT [Vol.1] 


เราเริ่มจากการจัดงานในที่ๆแคบลงมาเพื่อความแน่นในงานที่สนุกมากขึ้นเนื่องจากได้ประสบการณ์
จากการจัดงาน Cypher Adikts มา งานนี้ผมไม่ต้องการให้มีสปอนเซอร์ เพราะผมเชื่อในพลังของชาว
B-boy , B-girl ในเมืองไทยว่าเราามารถช่วยกันให้เกิดงานๆหนึ่งขึ้นมาได้โดยไม่ต้องอาศัยเงินของ
สปอนเซอร์ใดใด ครั้งแรกเีสี่ยงมากเพราะผมต้องเสียค่าพื้นที่เอง ต้องจ่ายเงินให้ DJ ด้วย ถึงแม้จะ
เป็นเพื่อนกันก็ตาม แม้เขาพร้อมที่จะมาเล่นให้ฟรีๆแต่เราก็ต้องพึ่งเขา จ่ายเองทุกอย่างเพื่อให้งาน
นี้เกิดขึ้นมา การเก็บค่าเข้าเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากสำหรับคนไทย เพราะชาวไทยชอบของฟรี 
ชอบอะไรที่มีสิ่งตอบแทน ถ้าไม่มีรางวัลไม่มีการแข่งขันก็จะไม่ยอมมากัน ดังนั้นงานนี้ทั้งเสียเงิน 
แถมไม่ได้อะไรอีก แค่ได้เต้นเฉยๆ เขาก็คงจะไม่ค่อยอยากจะมาซักเท่าไหร่ .. 


แต่แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้นได้มีคนมาครับ มาจากต่างจังหวัดก็มี มาเพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ 
มันน่าตกใจมากสำหรับผม เขายอมเสียเงินเพื่อจะมาเต้น แม่เจ้า ! มันเป็นไปได้ สังคม
ของเรายังมีคนที่มองเห็นคุณค่าของการเต้นจริงๆอยู่ด้วย ยอมสละเวลา เงินทอง มา
เพื่อ เต้นๆๆ แล้วก็เ้ต้น !!!         








                                                  DJ Jimmy จาก Spain 



มันยากมากที่จะเชื่อครับแต่มันก็เป็นไปแล้ว เรามีแจมเกิดขึ้นจริงๆได้แล้ว B-boy บ้านเรามีความเข้า
ใจมากขึ้นแล้วจริงๆ ไม่ได้มีแค่จำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียว แต่ยังมีคุณภาพทางความคิดอีกด้วย
ทุกคนมารวมงานกันมาสนับสนุนด้วยเงิน 150 บาท ซึ่งบางคนคิดว่ามันแพง แต่ผมว่าการมาแจม
มันได้อะไรมากกว่าเงินเพียงแค่ 150 บาท มันได้เต้นอย่างเต็มที่ ไม่ต้องรอ Battle แค่ 1 รอบ 2 รอบ แล้วตกรอบก็กลับบ้าน ได้ทั้งเพื่อน ได้ความสนุกกับเพลงที่ดีจริงๆจาก DJ ดีๆ ซึ่งบ้านเราไม่ค่อยมี ตรงจุดนี้ผมถือว่าประสบความสำเร็จมากเลยทีเดียว เรามี Hip-Hop ที่เป็น
ของแท้จริงๆแล้ว !




                                                 JAM ON IT [Vol.2] 

และแล้วงานครั้งที่สองก็เกิดขึ้น ได้รับการสนับสนุนจาก พี่เต้ง Spydamonkee จาก ก้าน คอ คลับ 
ให้เราสามารถคลับของพีเข้าได้ ครั้งนี้เราจัดกันที่ Tha Beatlounge งานนี้ได้รับการสนับสนุนจาก DJ
สัญชาติไทยคือ DJ กบ และ DJ เทียนเต้  สองคนนี้เป็นมือระดับพระกาฬ ของวงการ DJ บ้านเราเลย
งานนี้ทำให้ผมรู้ว่า เราไม่ได้อยู่อย่างโดดเดียวอีกต่อไป Hip-Hop มันสามารถ support กัน
ได้เสมอ :) 





                                            DJ กบ และ DJ เทียนเต้ :) 




                                          ชาวรัสเซียก็มาจากทีม Russian step ! 


                                     
                                          ชั้นสองของร้าน Tha Beatlounge


                           

                                                       Crazy Cypher !!!


                                                    ผองเพื่อนทั้งหลาย



                                                งานนี้สาวๆ และเด็กเข้าฟรีคร้าบ :)




                                                ร้าน Tha Beatlounge , RCA 


ครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนมากมายมีทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติ มีทั้งคน รัสเซีย ,ญี่ปุ่น และ สเปน
มีทั้ง Floor ข้างบนชั้นสอง และ ชั้นล่าง บรรเลงเพลงร่ายไปตั้งแต่  5 โมงเย็นยาวไปจนถึงสามทุ่ม





จริงๆงานแจมมีความำคัญมากๆกับสังคมของเรา เพราะมันได้มีการแลกเปลี่ยนได้สื่อสาร
ได้สร้างสรรค์ได้แบ่งปันความคิด ได้คุยกันแบบที่ไม่เคยคุยกัน ได้เพื่อนใหม่ๆในฟลอร์ 
หรือแม้กระทั่งตอนออกไปนั่งพักกินน้ำก็ได้คุยกันแล้ว นี่คือความเป็นจริงของ Hip-Hop 
แบบที่เขาบอกว่า Peace , Unity ,Love and Having Fun ของแท้ ไม่มีการมาบ้าบอ
 ทุกอย่างเป็นของจริง ไม่ต้องทะเลาะกันเพราะไม่มีเงินรางวัล ศักดิ์ศรีงี่เง่า ที่ต้องมาทะเลาะแย่งกัน ฉันที่หนึ่ง ฉัน New School ฉัน Old School มีแค่การเต้นแล้วก็ยอมรับ Respect (เคารพ) กันตรงนั้น battle กันจริงๆ ไม่ได้หลอกตัวเอง สามารถปลดปล่อยความเป็นเราได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องห่วงว่าท่าจะหมด จะแพ้มั้ย จะได้รางวัลรึป่าว เพราะอันที่จริงทุกคนมีความเจ๋งอยู่แล้วในตัวเองรางวัลมันก็คือการที่เราอยู่ตรงนั้นแล้วเรามีความสุขมากกว่า    





ปล. - รอดู volume ต่อๆไปน่ะครับสนุกแน่นอน ;)




 
PEACE & LOVE
(สันติ & รักนะ จุ๊บๆ)



วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

คนเรามันเพ้อเจ้อจริงๆนะ !

สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน วันนี้ผมเขียน Blog ดึกเป็นพิเศษ จริงๆก็นอนเช้า
อย่างนี้เป็นประจำอยู่แล้วเนื่องจากเป็นคนไม่ค่อยมีงานจะทำ 555 วันนี้เอาเรื่องเบาๆ
แล้วกันเนอะหนักมา 2 วันแล้ว


จริงๆแล้วเรากำลังทำอะไรอยู่หรอ ?  

ทุกวันนี้ผมก็กำลังงงว่าชีวิตคนเรามันจะเอาอะไรมากมาย เกิดมา กินอยู่ ขับถ่าย สืบพันธุ์
แล้วก็นอน ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่านั้น เอ หรือว่ามนุษย์เราฉลาดเกินไปเลยอยู่นิ่งๆไม่ค่อย
จะเป็น ต้องประดิษฐ์นุ่นสร้างนี่ เพื่อรองรับความคิดที่ตัวเองเชื่ออยู่ตลอดเวลา บางคนก็
เชื่อว่าเราจะอยู่สบายขึ้นหากมีสิ่งนั้น สิ่งนี้ หากมีระบบการจัดการที่ดีเราจะไม่ต้องปวดหัว
กับ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง เอาจริงๆแล้วผมว่ามนุษย์เราเพ้อเจ้อ เพราะสิ่งที่เราคิดที่เราทำ
มักสร้างปัญหาให้กับสิ่งอื่นๆเสมอ เราสบายถามว่าสบายจริงๆรึปล่าว ? ผมว่าไม่ คนเรามัน
ก็แค่เพ้อเจ้อไปวันๆ ถามว่าสงครามจะไม่เกิด โรคใหม่ๆ จะไม่มี ทุกคนจะเข้าใจกันเพราะ
มี internet เราจะทำอะไรได้ง่ายขึ้นเยอะ แต่มันไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเพ้อเจ้อหรอหรือ ?



เอาง่ายสมัยก่อน ทำไมต้องมียุคล่าอณานิคม ? 


เพราะคนเราเพ้อเจ้อ คิดว่าตัวเองเก่งสามารถ ยึดครองทุกสิ่งทุกอย่างได้ ยึดครองชีวิตผู้อื่น
ทรัพยากร ความคิด จิตใจ แต่เอาจริงๆ เมื่อเขาเข้าไปยึดแล้วมันก็ไม่ได้ทำให้รากฐานความคิด
หรือชีวิตคนที่นั่นเปลี่ยนไปจากเดิมซักเท่าไหร่ คุณอาจจะบอกว่า เขาก็เจริญดีนิ่ แต่เจริญยังไงล่ะ ?
เขาเจริญในแบบของคนอีกกลุ่ม เจริญในด้านนั้นด้านนี้ เจริญยังไงก็ยัง ต้องกิน ต้องนอน
ต้องขับถ่าย ต้องสืบพันธุ์อยู่ดี ปฏิเสธไม่ได้ ถึงจะมีเตียงดีๆ เราก็ยังนอนเหมือนเดิม อาหารจะ
วิเศษยังไง เราก็ยังขับถ่ายของเสียอยู่เหมือนเดิม แม้แต่การสืบพันธุ์ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปมาก
จากสัตว์ทั่วๆไป สรุปคือคนเราเพ้อเจ้อกันมาเป็นหมื่นๆปีแล้ว !



ทุกอย่างเกิดขึ้นมาได้จากความคิดเพ้อเจ้อทั้งหลายของมนุษย์ คนดีก็บอกว่าคนนั้นเลว
คนไม่ดีก็บอกว่าคนดีนั้นเลว มันจะต่างอะไรกัน คนเราแค่เกิดมาแล้วก็เจอกันในความเพ้อ
ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง อันที่จริงเราำพยายามที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก
ใบนี้แต่มันไม่สามารถทำได้ เพราะทุกอย่างมันมีการควบคุมด้วยตัวของมันเอง เราเป็นแค่
ส่วนหนึ่งที่ทำให้มันขับเคลื่อนไป มาก หรือ น้อย ทำลายมาก มันก็จะปรับสมดุลย์มาก
ไม่ทำลายเลยรักษามากไป ก็จะมีอีกสิ่งมาทำลายให้มันเกิดความพอดีในระบบธรรมชาติ
ด้วยความเพ้อเจ้อของมนุษย์ ทำให้เรารู้สึกว่าเราสามารถอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใคร
หรืออะไรจะเอาชนะเราได้ เราพยายามควบคุม น้ำ ภูเขา ทะเล หรือ แม้แต่สภาพอากาศ
ควบคุมอย่างไรก็ไม่ได้ควบคุมได้จริงอยู่ดี พวกเรามันเพ้อเจ้อ พยายามควบคุมทุกคนให้
เป็นคนดีไม่สร้างปัญหาสุดท้ายแล้วกลายเป็น การพยายามควบคุมปัญหานั้นกลับกลายเป็น
ปัญหาซะเอง เพราะทุกสิ่งย่อมมีผลกระทบต่อเนื่องซึ่งกันและกัน


แล้วทำไมเราไม่หัดควบคุมความคิดของเราดูบ้างล่ะควบคุมตัวเองบ้าง !!! 


ตรงนี้แหละผมว่าเราควบคุมได้ ถ้าเราควบคุมความเพ้อเจ้อของเราได้ เรารู้จักไม่คิด
เราจะมองเห็นโลกได้ชัดเจนกว่าที่เคยเป็น เข้าใจธรรมชาติได้มากกว่าที่เคยเป็น
มองเห็นชีวิตคนอื่นที่แตกต่างว่าไม่แตกต่าง ไม่แบ่งชาติ ศาสนา ชนชั้น วรรณะ
ถ้าเราควบคุมสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ ผมเชื่อว่าเราจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้จริงๆ
แม้มุมมองของบางคนอาจจะคิดว่าเราบ้า เราแตกต่่างแต่ เราเข้าใจ สิ่งที่เป็นไป
เข้าใจคนที่เขาเพ้อเจ้อคิดว่าเราบ้า ทุกคนผมว่ามันก็บ้ากันทั้งหมดนั่นแหละไม่มีใคร
ดำเนินชีวิตแบบปกติเลย มาจากความบ้าความเพ้อเจ้อล้วนๆ แล้วก็ทำลายหลายสิ่ง
หลายอย่างที่ไม่ควรจะทำลาย ถ้าเราเป็นคนบ้าอย่างที่เขาบอกเราก็เป็นคนบ้าที่ไม่
ได้เพ้อเจ้อไปกับ "โลกแห่งความเป็นจริง" (ของเขาและอีกหลายๆคน) ที่เขาเรียกมัน
ว่า "โลกแห่งความเป็นจริง" ก็เพราะมีคนบ้าหลายล้านคนมาร่วมกันบอกว่ามันคือ
ความจริง แต่ไอ้ที่เราอยู่ทุกวันนี้มันไม่ใช่ความเป็นจริงเราหลอกตัวเองล้วนๆ



คิดไปเอง บ้าไปเอง เพ้อเจ้อไปเอง คุณว่าผมพูดถูกรึป่าวครับ ? 555


โลกแห่งความเป็นจริงคือโลกที่ไม่ได้อยู่ในความคิดของเรา เป็นโลกที่สวยงาม
เป็นโลกที่เราสัมผัสได้จริงๆ ไร้การคิด ไร้การคำนวน หรือ แม้แต่สร้างสรรค์
เห็นอะไรทำอะไรก็เป็นไปตามนั้น โลกแห่งความเป็นจริง คือโลกที่ควบคุมไม่ได้
ร่างกายเราเอง บางครั้งยังควบคุมไม่ได้เลย เรายังคง ต้องป่วย ต้องแก่
ฉนั้นสำหรับผมสิ่งพวกนี้แหละครับคือ " โลกแห่งความเป็นจริง " มันสะอาด
กว่าที่เราเห็น มันดีกว่าที่เราเป็น และเราไม่เคยสู้มันได้แม้สักครั้งเดียว .. 





วันนี้ฟังผมเพ้อเจ้อมามากแล้วยังไงก็อยากให้่ท่านๆลองเก็บไปเพ้อเจ้อดู
เผื่อท่านไหนเห็นตรงกับผม ก็สามารถมาแชร์ประสบการณ์ความเพ้อเจ้อกัน
ได้ครับผม ขอให้สันติสุขจงมีแด่โลกและคนที่คุณรักทุกๆคนครับ 


Peace & Love !

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

จุดยืนกับกำพืช

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้ผมเขียนบ่อยขึ้นเพราะเวลาว่างมีเยอะมาก
แต่ต่อไปคงมีน้อยลง แต่ก็คงจะเขียนอยู่เหมือนเดิมแหละครับ ยังไงก็ขอบคุณทุกท่าน
ที่ให้ความสนใจกับบทความที่ผมเขียนครับ :)


จุดยืน  - ในความหมายของมันคือสิ่งที่คุณยืนยันที่จะทำมัน อยู่กับมัน
             ใช้ชีวิตด้วยความคิดที่ว่าฉันจะเอาิ่สิ่งนี้แหละเป็นหลักในการ
             ทำอะไรก็ตามในชีวิต เป็นเส้นหนาๆที่เรากำหนดเอาไว้ในความคิด
             ว่าฉันคือแบบนี้และฉันจะยังทำมันต่อไปเรื่อยๆ

กำพืช - ความสูง ดำ ต่ำ ขาว ลักษณะภายนอก ตัวตน เผ่าพันธุ์ สภาพแวดล้อม
            ที่เคยอาััศัยอยู่ คนรอบข้างที่คอยสนับสนุน พ่อ แม่ พี่ น้อง ครอบครัว
            สิ่งที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด ว่าฉันคือใคร มาจากไหนและจะรู้อยู่ตลอดเวลา  


สองคำนี้มีความหมายแตกต่างกัน มันมีความหมายในตัวของมันเองอยู่แล้ว
เมื่อคุณแยกแยะมันออกว่ามันคืออะไร คุณจะทำตัวในแบบที่ควรจะเป็นได้อย่าง
ถูกต้องในสังคม หลายๆคนมีจุดยืนทีู่จะก้าวหน้า อยากจะมีอนาคตที่ดี อยากรวย
อยากเก่ง อยากโด่งดัง และบอกกับตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าฉันจะต้องเป็นแบบนั้น
ให้ได้ซักวันหนึ่ง แม้กำพืชของเราจะไม่อำนวยก็ตาม เราก็พยายามไปให้ถึงจุดที่
เราต้องการ บางคนเมื่อเริ่มได้ในสิ่งที่ต้องการตามจุดยืน ก็จะเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด
เพราะความหลงไหลในิ่งที่ไม่เคยได้ ไม่เคยมี เหมือนหน้ามันจะมืดนิดๆ จนบางครั้ง
ก็ลืมสิ่งที่เคยเป็น ลืมคนข้างหลัง ลืมคนรอบข้าง มองแต่ตัวเองจนมองไม่เห็นใคร
มันเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะสุดท้ายแล้วเมื่อเราลืมทุกคนเราก็จะเริ่มโดดเดี่ยว
ไร้ที่พึ่ง หันไปทางไหนก็ลำบากใจ อยากคุยกัีบใครก็ยาก เพราะว่าจุดยืนมันพาเรา
ไปไกลเกินจะมองสิ่งที่ให้กำเนิดตนเอง


ยิ่งสูงก็ ยิ่งหนาว


ประโยคนี้เป็นความจริงแท้ที่ปฏิเธไม่ได้ มีคนรักเรามาก ก็ต้องมีคนเกลียดเรามาก
คนนอกเขาไม่รู้หรอกว่าตัวแท้ๆของเราเป็นอย่างไร เห็นแต่ภายนอก รอบนอกว่าเรา
มีนั่นนี่แล้ว เราสบายแล้ว เราเก่ง แต่อันที่จริงเราก็ไม่ได้มีอะไร เราก็ยังเป็นคนๆเดิม
ที่ใช้ชีวิตไม่แตกต่างกับคนทั่วไปมากนัก  อยู่ที่สูงมากๆบางทีมันก็น่ากลัว ลมมันแรง
พัดตลอด ถ้าร่วงลงไปก็คือตกเหว การระมัดระวังตัวจะมีมากขึ้น เพราะไม่อยากตกลง
ไปข้างล่าง ถ้าบังเอิญร่วงลงไปคิดว่าต้องเจ็บหนักแน่ๆ คงปีนขึ้นมาไม่ได้ง่ายๆ



แต่ความกลัวพวกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีจริง เพราะจริงๆเมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของทุกสิ่ง
ก็จะเข้าใจคำว่าจุดยืนได้มากขึ้น ถ้าเรามีจุดยืนเพื่อความก้าวหน้าแต่ไม่มองใครมัน
ก็ขึ้นไปไหนยาก เพราะทุกอย่างการก้าวหน้าต้องมีการสนับสนุนจากสิ่งรอบข้างมากมาย
เพียงแต่เราไม่ได้มองสิ่งเหล่านั้น เรามองแต่ทางขึ้นเขาอย่างเีดียว การมองข้างทาง
บางครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่เพราะวิวมันสวย ถ้าเราไม่หัดมองซะบ้างเวลาขึ้นเขาอาจจะ
ขึ้นยากกว่าที่ควรจะเป็น บางครั้งเราอาจจะจำเป็นต้องใช้กิ่งไม้จากข้างทางมาเป็นอุปกรณ์
เพื่อค้ำยันตัวเองให้ขึ้นไปง่ายขึ้น การมองข้างทางเป็นสิ่งที่ดี เพราะบางครั้งทางขึ้นเขา
อาจจะไม่ได้มีทางเดียวอาจจะมีทางลัด ที่ขึ้นไปได้ง่ายกว่าอยู่ข้างๆนั้นก็ได้ ถ้าเรา
สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ รับรองว่าเราจะขึ้นเขาได้เร็ว ได้ง่าย ได้สบายกว่าเดิม




บนเขานั้นมันมีอะไรนอกจากวิวที่จะทำให้เราอิ่มเอิบใจ แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว วิวบนพื้น
ก็สวยงามไม่แพ้กับวิวบนเขาเลย บนเขาเรามองเห็นภาพได้กว้างมาก 360 องศา 
เห็นว่าเมืองไหน ใกล้ไกล มีอะไรบ้างบนพื้น กลับกันกับข้างล่างที่เรามองเห็นอะไร
ได้ชัดเจนกว่า เราสามารสัมผัสมันได้เลย โดยไม่ต้องมองลงมาจากที่สูง อยากจับ
ใบไม้ของต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ซึ่งถ้าเราอยู่บนเขาแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำแบบนั้น 
เราได้แต่มองจากที่สูง มิติมันต่างกัน การอยู่บนเขานานๆเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ บางคน
ถึงกับเบื่อจนต้องเดินลงมา เพราะติดใจวิวข้างๆ สนุกกับการเดินเขามากกว่ายืนดูวิวเฉยๆ


การสัมผัสสิ่งเดิมๆที่เคย สัมผัสไม่ใช่เรื่องที่เีสียหาย บางครั้งการลงเขามาจะทำให้เรา
ขึ้นไปบนเขาได้ง่ายกว่าเดิมเพราะเราจะรู้อะไรมากขึ้น ขึ้นเขาได้ไวมากกว่าเก่า รู้จักหา
อุปกรณ์ ในการขึ้นมีความชำนาญในการขึ้นลง ภูเขาที่เคยคิดว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่อีกต่อไป
ด้วยความที่เราใช้ประสบการณ์อันชำนาญการของเรา จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการ
ขึ้นเขา ทำให้เราสามารถช่วยเหลือคนอื่นให้ขึ้นเขาไปกับเราได้ด้วย คราวนี้บนยอดเขา
ก็จะไม่ได้มีคุณคนเดียวและคุณก็จะไม่โดดเดี่ยว เพราะเราไม่เคยลืมหญ้าบนพื้น กลิ่นดิน
บนพื้นที่คุ้นเคย เราเกิดที่นั่น ใช้ชีวิตที่นั้นแม้แต่ ปลูกต้นไม้ที่เรียกว่าจุดยืนให้มันโตเป็น
ต้นถั่วยักษ์จนสามารถให้เราปีนต้นถั่วไปบนยอดเขา หรือ ที่ๆสูงกว่ายอดเขาได้



คนเราเวลาจะทำอะำไรถ้าเริ่มลืมตนเอง ลืมว่าตัวเองเป็นใคร จะไปไหนไปให้ไกลแค่ไหนก็
จะไม่มีใครจดจำ เพราะตัวคุณเองยังไม่เคยจดจำคนรอบข้าง แล้วประสาอะไรจะให้ใครมา
จดจำคุณ อยู่บนเขานานๆมันเบื่อยังไงก็ต้องลงมาอยู่ดี ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าลง
มาแล้วคุณไม่เจอใครเลยมันเป็นเรื่องที่น่ากลัวไม่ใช่น้อยเลย ..



     

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

ร่างกาย VS สมอง

สวัสดีครับมิตรรักแฟนเพลง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ชีวิตผมมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย
บางอย่างที่ไม่เคยเป็นไม่เคยทำก็ต้องได้ทำ ความกลัวมันเริ่มจะไม่มีแล้วเพราะมัน
ได้เวลาละเรื่องพวกนั้น แล้วเริ่มจะทำอะไรที่สำคัญกับชีวิตจริงๆซะทีแล้ว พอก่อน
เลิกแพร่มเรื่องของตัวเองก่อน ..




ผมเป็นครูสอนเต้น ใช้เวลาไม่มา่กในการสอนก็จริง แต่ก็สอนมานานคลุกคลีอยู่
กับคนเรียนหลายๆประเภท การศึกษาหลายประเภทสอนให้เราอ่านๆ ทำๆๆ
 แต่พอจบแล้วก็ไม่ได้ทดสอบทันที ไม่ได้มีการย้ำเรื่องที่ทำ เพราะคิดว่า
คนที่เรียนเขาทำได้แล้วเข้าใจแล้วก็เลยปล่อยให้ผ่านไป ไม่ได้กลับเอา
ไปทำเป็นการบ้านจนกระทั่งกลับมาเรียนใหม่ พอเริ่มบทเรียนต่อไป ไอ้ของเก่า
ที่ต้องทำให้ได้ก่อนก็ััยังทำไม่ได้ แล้วก็ต้องมาดันทุรัง แต่อย่างการสอนเต้น
B-boy มันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะถ้าพื้นฐานง่ายยังทำไม่ได้ ไม่กลับไปซ้อม
ไปทำการบ้าน ก็ไม่สามารถทำท่าที่จะสอนใหม่ได้ ของมันเห็นๆครับ ไม่ได้
ก็คือไม่ได้ เพราะการเต้น B-boy มันยากจริงๆถ้าคุณไม่ขยันไม่สนใจมัน



ส่วนมากการสอนของผมจะเป็นลักษณะการปกติเหมือนการสอนทั่วๆไป
แต่อาจจะมีความแตกต่างจากระบบการสอนปกตินิดหน่อย คือ 
สอนก่อนทีละขั้นตอนแบบ step by step จากนั้นก็จะเริ่มทำให้เร็วขึ้นไปเรื่อยๆ
ย้ำมันหลายๆครั้ง ย้ำจนเขาเคยชินกับส่งที่เขาทำ ผมมักจะบอกนักเรียนของผม
เสมอว่า  " อย่าจำ อย่าคิด "  แต่ให้ใช้ ตาดู และ หูฟังแทน แล้วใช้ประสาทสัมผัส
ของร่างกายจดจำ้เอา เมื่อร่างกายมันจำ สมองก็ไม่ต้องใช้แล้วล่ะครับ เพราะมัน
จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติ เหมือนกับเด็กทารกที่กำลังหัดเดิน ตอนนั้นเอง
เด็กทารกก็ััยังไม่ได้คิดหรอกครับว่าจะเดินยังไง ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่
รู้แค่ว่าเขาจูงไปให้เราก้าวขา เราก็ก้าวไปจนกระทั่งร่างกายมันจำของมันเอง
แล้วก็มารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่อีกทีคือตอนเดินปร๋อแล้ว ผมเรียกระบบการจำแบบนี้ว่า
ระบบ "Auto pilot "  หรือ ระบบบินอัตโนมัติของเครื่องบินนั่นเอง


แต่ก่อนที่จะได้ระบบบินอัตโนมัติก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะความเข้าใจของแต่ละคนมี
เรียนรู้ได้เร็วช้าต่างกัน บางคนอาจจะต้องย้ำนานมาก บางคนอาจจะแป๊ปเดียวก็ทำได้เลย
แต่ส่วนมากคนที่เรียนรู้ได้ช้า จะเป็นคนที่ชอบมองอย่างเดียวแล้วคิด ใช่แล้วครับ !
เขาใช้สมองคิดว่าจะขยับตัวอย่างไร การเต้นจริงๆมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสมองการ
คำนวนอะไรทั้งนั้น มันแค่ขยับตามและสังเกตุ แล้วปรับท่าทางไปตามที่มองเห็น เพราะ
การเต้นมันไม่ได้ใช้สมองคิด มันใช้แค่การฟังแล้วก็ขยับไปตามเพลงเท่านั้นเอง 
เหมือนคนโบราณ คนป่าที่ตีกลองหนังสัตว์แล้วเต้นไปรอบๆกองไฟนั่นแหละ 
ผมเลยบอกว่าให้นักเรียนผมไม่ต้องคิดอะไรเลย ให้ดูแล้วทำตามอย่างเดียว ถ้าไม่
เข้าใจก็ให้ผมทำใหม่ให้ดูแล้วทำไปพร้อมๆกัน เดี๋ยวร่างกายมันจะรู้เองว่าจะไปแบบไหน
ใช้แต่ความรู้สึกสมองไม่เกี่ยว !



 บางคนอาจจะบอกว่า มันก็ต้องคิดก่อนถึงจะทำได้สิ ผมว่ามันไม่เกี่ยวเลย ขนาด
คุณก้าวขาเดิน หยิบของ ยกช้อนข้าวใส่ปาก ยังไม่เห็นต้องคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะต้อง
ยกขากี่องศา ขยับขาขวาหรือขาซ้ายก่อน กลัวหยิบของไม่ถึงเพราะกะระยะเอื้อมมือไม่ถูก 
ยกช้อนข้าวขึ้นมาใส่ปากก็ตรงปากดีไม่เห็นจะ เข้าจมูกหรือเข้าตาเลย สิ่งเหล่านี้คุณ 
แทบไม่ต้องใช้สมองเลยด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะร่างกายของเราสั่งการเร็ว
กว่าความคิดมาก 



ถ้าไม่เชื่อลองทำอะไรไปแล้วคิดอะไรไปดูสิครับ มันก็ัยังทำในสิ่งที่ทำอยู่ได้ตลอด
แม้สติจะไม่อยู่กับเนื้อกัีบตัวมากแต่มันก็เป็นแบบนั้น แล้วถ้าิยิ่งเรื่องเต้นยิ่งไปกันใหญ่เลย
คุณไม่สามารถคิดก่อนได้เลยว่าจะต่อท่าอะไร แม้คุณจะรู้แล้วว่าจะต้องทำท่าอะไรต่อแต่มัน
ก็ไม่สามารถควบคุมด้วยสมองได้ง่ายๆ เพราะการเต้นมันขยับเร็ว ขยับไปไม่ได้หยุด
แล้วเมื่อคุณเริ่มคิดอะไรขึ้นมาท่าที่คุณทำอยู่จะเริ่มมีอาการชงัก ติดๆขัดๆ ไม่ไหลลื่น
จริงๆแล้วเราอาศัยแค่ความเคยชินของร่างกายเพียงเท่านั้น เราซ้อมมาแบบนี้ตามแบบเป๊ะๆ
มันก็จะตามแบบที่เราซ้อมมา เราไม่ได้คิดว่าจะต่ออะไรยกเว้นว่าไม่คล่องแล้วเราดันเผลอคิด
มันก็จะกระตุกๆเหมือนแผ่นสะดุด  แม้แต่การ Freestyle (การนำท่าที่ซ้อมมาแล้วมามั่วต่อกัน)
มักจะไม่สามารถคิดให้มันตรงเป๊ะว่าอันนี้จะต่ออันนี้ บางครั้งเป็นการต่อด้วยความเคยชิน
สมองเป็นแค่ตัวบอกแผนว่าจะเอายังไง แต่มันไม่ได้บอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นจะตรง
ตามแผนการที่วางไว้เสมอไป ..    
  

ผมไม่ได้บอกให้คุณไม่ใช้สมองนะครับ แต่สมองมันจะจำเป็นก็ตอนที่เราควรใช้
ใช้คิดท่าเต้น ใช้คำนวนความเป็นไปได้ของสิ่งที่จะสร้างสรรค์ ใช้วางแผนก่อนทำ
(แบบคร่าวๆ) นี่คือหน้าที่ของสมองที่ควรจะทำ ถ้าสมองไปคิดตอนทำมันจะใช้งาน
ผิดแบบ เพราะเอาจริงๆความเคยชินของร่างกายเรามันทำงานไวกว่าสมองเยอะมาก








สุดท้ายนี้ผมก็อยากจะให้ทุกท่านหัดเรียนรู้แบบไม่ใช้สมองดูบ้าง สังเกตุแล้วก็ทำๆดูก่อน
ถ้ามันไม่ใช่จริงๆค่อยใช้สมอง แต่ก็ไม่ใช่ให้ความคิดในสมองทำให้เราประสาทจนไม่
ได้ทดลองทำจริง มันจะทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างไม่คืบหน้า สมองเรามันก็เป็นแค่ภาำพในหัวเรา
ซึ่งเอาจริงๆมันจะเป็นไปได้รึปล่าวเราก็ยังไม่รู้เลย ถ้าเ้ราไม่ได้ลองทำจริงๆ






วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

เมืองไทยไม่ใช่เมืองนอก

สวัสดีครับท่านผู้อ่านหลังจากห่างหายการเขียน Blog ไปนานแสนนาน หวังว่าหลายๆท่านคงสบายดี
และยังคิดถึงกันบ้าง วันนี้เป็นเรื่องที่ผมเคยจ้ออยู่เป็นประจำใน Facebook กับสังคมนักเต้นเมืองไทย
จริงๆก็ไม่ใช่แค่นักเต้นอย่างเดียว จะ้เรียกว่าสังคมไทยเลยก็ได้ครับเพราะ "เมืองไทยไม่ใช่เมืองนอก"



ประชากรไทยเป็นพวกอนุรักษ์นิยมทางด้านความคิด เมื่อคนรุ่นก่อนบอกอย่างไรเราก็มักจะเชื่อแบบนั้น
ตามๆกันมา แต่ทว่าบางความคิดก็ไม่ได้ดีเสมอไป มันฝังอยู่ในหัวเราตั้งแต่เด็กๆ ฝังผ่านๆแต่ก็อยู่ใน
สมอง ความเชื่อต่างๆที่ว่ามันถูกก็เยอะผิดก็แยะ ถ้าเราไม่มีความคิดหน่อยก็ดิ่งลงเหวไปเลย ถ้าคิดได้
มันก็สามารถเอามาใช้กับชีวิตเราได้จริงๆ แต่เราถูกปลูกมาให้เป็นผู้ตาม อ่อนน้อมถ่อมตน
ขี้เกรงอกเกรงใจ ไม่พูดในสิ่งที่ควรพูด ยอมๆกันหยวนๆกัน ไม่เด็ดขาด จนศูนย์เสียบางอย่างที่สำคัญ
กับชีวิตตัวเองไป เพราะคุณมองสิ่งที่คนในสังคมเราทำอย่างเดียวไม่เคยมองออกไปนอกหน้าต่าง
ข้างบ้านบ้างเพราะเราเชื่อเสมอว่า ไทยนี้คือสุดยอดดีที่สุด The Best แล้ว !   


เมื่อคุณเีิ่ริ่มทำสิ่งที่แตกต่างจากในสังคม มันจะเริ่มมีแรงกดดันเงียบๆที่พยายามทำให้คุณล้มเลิก ทำสิ่ง
เหล่านั้น "อย่าทำเลย ทำไปก็ไม่ได้อะไร"   "ไม่กลัวหรอ มีคนทำมาแล้วเจ๊งมาหลายรายแล้ว"
" พูดอะไรของนายวะ เพ้อเจ้อจริงๆจริงเลย" คำพูดพวกนี้มาจากคนรอบข้างเรานี่เองไม่ว่าจะเป็นใครก็
ตามที่เขาคิดต่างกับเรา เพราะเขาไม่กล้าคิดสิ่งที่เราคิดเราเลยโดนค้านตลอด มันทำให้คุณสามารถ
หมดกำลังใจและล้มเลิกสิ่งที่คุณกำลังทำไปได้อย่างง่ายดาย



และในวันนั้นเองวันที่คุณทำสิ่งที่เขาคัดค้านสำเร็จ ! 



"โหว หมอนั่นน่ะเป็นเพื่อนฉันมันโชคดีมาก มันถึงมีทุกวันนี้" 

"ไอ้คนนี้อะหรอ มันมีเส้นสายดีรู้จักผู้ใหญ่รู้จักคนดังๆมันถึงมีทุกวันนี้" 

"โอยยย หมอนั่นแต่ก่อนมันเป็นลูกน้องฉัน ถ้าไม่ได้ฉันนะมันไม่มีวันนี้หรอก" 

"นายจะไปเอาอะไร มันเป็นลูกคนมีเงินใช้เงินก็จบแล้ว" 




เคยได้ยินอะไรแบบนี้ผ่านหูคุณบ้างมั้ยครับ ? 


นี่คือความจริงของสังคมไทยในปัจจุบัน เมื่อคุณทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้มันจะมีเสียงด่า
และเสียงสรรเสริญ (มาบ้าง) เพราะคนเราลึกๆมักจะไม่เชื่อว่าตัวเองทำสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะมัวแต่กลัว
มัวแต่ไม่กล้า เอาแต่ดูถูกตัวเองว่าไม่เก่ง ไม่รวย ไม่มีชื่อเสียง มัวแต่คิด ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ไม่
ได้เริ่มทำอะไรจริงๆจังๆซะที แล้วก็พอเห็นคนอื่นได้ดีก็เอาความคิดบูดๆที่ตนเองสะสมไว้ พ่นออกมา
เพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเองจากความกลัวที่ตัวเองมี นั่นแหละครับคือสาระสำคัญ !


เมื่อคุณได้รับการยอมรับจากต่างประเทศจากคนในวงการสาขาเดียวกันที่อยู่ในระดับเดียวกับคุณ
แล้วในทางกลับกัีนคุณมักจะไม่ได้รับการยอมรับจากภายในประเทศของตัวเองดีนัก เป็นเรื่องน่าเศร้า
ที่คนไทยมีคนมีความสามารถ เก่งๆมากมายหลายอย่าง ไม่เคยได้รับการส่งเสริมจากคนในประเทศ
ของตนเองเลยถึงจะมีก็เป็นคนส่วนน้อยที่จะรู้ว่าคุณเก่ง คุณทำอะไรอยู่ เพราะความคิดบูดๆ ความเชื่อ
ที่ขึ้นราแล้ว(บางเรื่อง)ของสังคมเราทำให้เรากลัวที่จะคิดสร้างสรรค์ หรือ ทำสิ่งใหม่ๆ จากความกลัวนี้
มันกลายมาเป็นปมด้อยที่ทำให้คนในสังคมนี้ไม่กล้าทำอะไร บางคนแย่หน่อยก็เกลียดและแบนไปเลย
ฝังตัวเองกับความเชื่อเก่าๆที่ตัวเองไม่ได้คิดขึ้นมา ยิ่งมองก็ยิ่งน่าเศร้าครับ ..



ความแตกต่างไม่ใช่เรื่องไม่ดี เป็นเรื่องที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง จงแตกต่างอย่างฉลาดแม้แรกๆสังคมจะ
ไม่เข้าใจคุณคุณอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย แต่อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ เพราะคุณรักมัน
และศึกษาหาความรู้ ฝึกฝนมันอย่างจริงจัง ยังไงผมก็เชื่อว่ามีคนที่นิยมชมชอบคุณอยู่ แม้จะเป็นกลุ่ม
เล็กๆแต่เขาสามารถเข้าใจในสิ่งที่คุณเป็นได้มากที่สุด ต่อไปคนเหล่านี้แหละจะเป็นพลังผลักดันให้สิ่ง
ที่คุณทำ สิ่งที่คุณเป็น มีความแข็งแรงมากขึ้นและมันก็จะทำให้สิ่งที่คุณทำเป็นที่ยอมรับในที่สุด !


PS ; ถ้าเป็นเมืองนอกน่ะหรอสิ่งที่คุณทำอยู่อาจจะง่ายกว่าที่เป็นอยู่นี้ก็ได้ แต่ก็แล้วแต่สังคมนะครับ




+++อย่าลืมว่าคุณอยู่เมืองไทยอะไรๆมันอาจจะไม่ง่าย แต่อย่าไปกลัวครับเพราะเราไม่ใช่คนขี้ขลาดพวกนั้น +++