สวัสดีครับมิตรรักแฟนเพลง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ชีวิตผมมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมาย
บางอย่างที่ไม่เคยเป็นไม่เคยทำก็ต้องได้ทำ ความกลัวมันเริ่มจะไม่มีแล้วเพราะมัน
ได้เวลาละเรื่องพวกนั้น แล้วเริ่มจะทำอะไรที่สำคัญกับชีวิตจริงๆซะทีแล้ว พอก่อน
เลิกแพร่มเรื่องของตัวเองก่อน ..
ผมเป็นครูสอนเต้น ใช้เวลาไม่มา่กในการสอนก็จริง แต่ก็สอนมานานคลุกคลีอยู่
กับคนเรียนหลายๆประเภท การศึกษาหลายประเภทสอนให้เราอ่านๆ ทำๆๆ
แต่พอจบแล้วก็ไม่ได้ทดสอบทันที ไม่ได้มีการย้ำเรื่องที่ทำ เพราะคิดว่า
คนที่เรียนเขาทำได้แล้วเข้าใจแล้วก็เลยปล่อยให้ผ่านไป ไม่ได้กลับเอา
ไปทำเป็นการบ้านจนกระทั่งกลับมาเรียนใหม่ พอเริ่มบทเรียนต่อไป ไอ้ของเก่า
ที่ต้องทำให้ได้ก่อนก็ััยังทำไม่ได้ แล้วก็ต้องมาดันทุรัง แต่อย่างการสอนเต้น
B-boy มันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะถ้าพื้นฐานง่ายยังทำไม่ได้ ไม่กลับไปซ้อม
ไปทำการบ้าน ก็ไม่สามารถทำท่าที่จะสอนใหม่ได้ ของมันเห็นๆครับ ไม่ได้
ก็คือไม่ได้ เพราะการเต้น B-boy มันยากจริงๆถ้าคุณไม่ขยันไม่สนใจมัน
ส่วนมากการสอนของผมจะเป็นลักษณะการปกติเหมือนการสอนทั่วๆไป
แต่อาจจะมีความแตกต่างจากระบบการสอนปกตินิดหน่อย คือ
สอนก่อนทีละขั้นตอนแบบ step by step จากนั้นก็จะเริ่มทำให้เร็วขึ้นไปเรื่อยๆ
ย้ำมันหลายๆครั้ง ย้ำจนเขาเคยชินกับส่งที่เขาทำ ผมมักจะบอกนักเรียนของผม
เสมอว่า " อย่าจำ อย่าคิด " แต่ให้ใช้ ตาดู และ หูฟังแทน แล้วใช้ประสาทสัมผัส
ของร่างกายจดจำ้เอา เมื่อร่างกายมันจำ สมองก็ไม่ต้องใช้แล้วล่ะครับ เพราะมัน
จะกลายเป็นระบบอัตโนมัติ เหมือนกับเด็กทารกที่กำลังหัดเดิน ตอนนั้นเอง
เด็กทารกก็ััยังไม่ได้คิดหรอกครับว่าจะเดินยังไง ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่
รู้แค่ว่าเขาจูงไปให้เราก้าวขา เราก็ก้าวไปจนกระทั่งร่างกายมันจำของมันเอง
แล้วก็มารู้ตัวว่าทำอะไรอยู่อีกทีคือตอนเดินปร๋อแล้ว ผมเรียกระบบการจำแบบนี้ว่า
ระบบ "Auto pilot " หรือ ระบบบินอัตโนมัติของเครื่องบินนั่นเอง
แต่ก่อนที่จะได้ระบบบินอัตโนมัติก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะความเข้าใจของแต่ละคนมี
เรียนรู้ได้เร็วช้าต่างกัน บางคนอาจจะต้องย้ำนานมาก บางคนอาจจะแป๊ปเดียวก็ทำได้เลย
แต่ส่วนมากคนที่เรียนรู้ได้ช้า จะเป็นคนที่ชอบมองอย่างเดียวแล้วคิด ใช่แล้วครับ !
เขาใช้สมองคิดว่าจะขยับตัวอย่างไร การเต้นจริงๆมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสมองการ
คำนวนอะไรทั้งนั้น มันแค่ขยับตามและสังเกตุ แล้วปรับท่าทางไปตามที่มองเห็น เพราะ
การเต้นมันไม่ได้ใช้สมองคิด มันใช้แค่การฟังแล้วก็ขยับไปตามเพลงเท่านั้นเอง
เหมือนคนโบราณ คนป่าที่ตีกลองหนังสัตว์แล้วเต้นไปรอบๆกองไฟนั่นแหละ
ผมเลยบอกว่าให้นักเรียนผมไม่ต้องคิดอะไรเลย ให้ดูแล้วทำตามอย่างเดียว ถ้าไม่
เข้าใจก็ให้ผมทำใหม่ให้ดูแล้วทำไปพร้อมๆกัน เดี๋ยวร่างกายมันจะรู้เองว่าจะไปแบบไหน
ใช้แต่ความรู้สึกสมองไม่เกี่ยว !
บางคนอาจจะบอกว่า มันก็ต้องคิดก่อนถึงจะทำได้สิ ผมว่ามันไม่เกี่ยวเลย ขนาด
คุณก้าวขาเดิน หยิบของ ยกช้อนข้าวใส่ปาก ยังไม่เห็นต้องคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะต้อง
ยกขากี่องศา ขยับขาขวาหรือขาซ้ายก่อน กลัวหยิบของไม่ถึงเพราะกะระยะเอื้อมมือไม่ถูก
ยกช้อนข้าวขึ้นมาใส่ปากก็ตรงปากดีไม่เห็นจะ เข้าจมูกหรือเข้าตาเลย สิ่งเหล่านี้คุณ
แทบไม่ต้องใช้สมองเลยด้วยซ้ำว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะร่างกายของเราสั่งการเร็ว
กว่าความคิดมาก
ถ้าไม่เชื่อลองทำอะไรไปแล้วคิดอะไรไปดูสิครับ มันก็ัยังทำในสิ่งที่ทำอยู่ได้ตลอด
แม้สติจะไม่อยู่กับเนื้อกัีบตัวมากแต่มันก็เป็นแบบนั้น แล้วถ้าิยิ่งเรื่องเต้นยิ่งไปกันใหญ่เลย
คุณไม่สามารถคิดก่อนได้เลยว่าจะต่อท่าอะไร แม้คุณจะรู้แล้วว่าจะต้องทำท่าอะไรต่อแต่มัน
ก็ไม่สามารถควบคุมด้วยสมองได้ง่ายๆ เพราะการเต้นมันขยับเร็ว ขยับไปไม่ได้หยุด
แล้วเมื่อคุณเริ่มคิดอะไรขึ้นมาท่าที่คุณทำอยู่จะเริ่มมีอาการชงัก ติดๆขัดๆ ไม่ไหลลื่น
จริงๆแล้วเราอาศัยแค่ความเคยชินของร่างกายเพียงเท่านั้น เราซ้อมมาแบบนี้ตามแบบเป๊ะๆ
มันก็จะตามแบบที่เราซ้อมมา เราไม่ได้คิดว่าจะต่ออะไรยกเว้นว่าไม่คล่องแล้วเราดันเผลอคิด
มันก็จะกระตุกๆเหมือนแผ่นสะดุด แม้แต่การ Freestyle (การนำท่าที่ซ้อมมาแล้วมามั่วต่อกัน)
มักจะไม่สามารถคิดให้มันตรงเป๊ะว่าอันนี้จะต่ออันนี้ บางครั้งเป็นการต่อด้วยความเคยชิน
สมองเป็นแค่ตัวบอกแผนว่าจะเอายังไง แต่มันไม่ได้บอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นจะตรง
ตามแผนการที่วางไว้เสมอไป ..
ผมไม่ได้บอกให้คุณไม่ใช้สมองนะครับ แต่สมองมันจะจำเป็นก็ตอนที่เราควรใช้
ใช้คิดท่าเต้น ใช้คำนวนความเป็นไปได้ของสิ่งที่จะสร้างสรรค์ ใช้วางแผนก่อนทำ
(แบบคร่าวๆ) นี่คือหน้าที่ของสมองที่ควรจะทำ ถ้าสมองไปคิดตอนทำมันจะใช้งาน
ผิดแบบ เพราะเอาจริงๆความเคยชินของร่างกายเรามันทำงานไวกว่าสมองเยอะมาก
สุดท้ายนี้ผมก็อยากจะให้ทุกท่านหัดเรียนรู้แบบไม่ใช้สมองดูบ้าง สังเกตุแล้วก็ทำๆดูก่อน
ถ้ามันไม่ใช่จริงๆค่อยใช้สมอง แต่ก็ไม่ใช่ให้ความคิดในสมองทำให้เราประสาทจนไม่
ได้ทดลองทำจริง มันจะทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างไม่คืบหน้า สมองเรามันก็เป็นแค่ภาำพในหัวเรา
ซึ่งเอาจริงๆมันจะเป็นไปได้รึปล่าวเราก็ยังไม่รู้เลย ถ้าเ้ราไม่ได้ลองทำจริงๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น